ในโลกกลมๆใบนี้แม้จะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ห่างไกลกันข้ามขอบฟ้าแต่ยังไงก็ยังเป็นวงกลมที่มีโอกาสมาบรรจบกันได้อยู่ดี มีเรื่องราวหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนๆกันทั่วโลก อาจเป็นเรื่องเล่า เป็นนิทานพื้นบ้านรวมไปถึงเรื่องจริงที่เป็นคดีความที่ไม่ได้มีแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง “คดีแย่งเด็ก” ก็เป็นหนึ่งในความเหมือนที่แตกต่างนั้นด้วย

คดีแย่งเด็กในนิทานชาดก

201_24     ในนิทานชาดกเรื่องพระเจ้าสิบชาตินั้น พระมโหสถ ซึ่งเป็นพระชาติที่ 5 ทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลมลึกล้ำ ดังจะเห็นได้จากการแก้ไขปัญหาและการตัดสินคดีความต่างๆได้อย่างน่าประทับใจ อย่างเช่นในกรณีหญิงแย่งลูกซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีหญิงสองคน ต่างคนต่างอ้างว่าตนเป็นแม่ของเด็ก มโหสถจึงขีดเส้นเส้นหนึ่งบนพื้น แล้ววางเด็กลงบนเส้นนั้น ให้หญิงคนหนึ่งจับแขนเด็ก อีกคนหนึ่งจับขา และตั้งกติกาว่าหากใครสามารถดึงเด็กให้ผ่านเส้นที่ขีดไว้ก็จะถือว่าเป็นแม่ของเด็ก

     เมื่อเด็กถูกยื้อยุดก็ร้องไห้จ้า หญิงคนหนึ่งรีบปล่อยมือ ส่วนอีกคนยังคงฉุดเด็กโดยแรง มโหสถจึงตัดสินว่าหญิงคนที่ปล่อยมือนั่นแหละคือแม่ที่แท้จริง เพราะแม่ย่อมรักลูกทนเห็นลูกเจ็บไม่ได้ ส่วนหญิงอีกคนนั้นตามท้องเรื่องบอกว่าเป็นนางยักษิณีแปลงกายมาเพื่อหวังจะเอาเด็กไปหม่ำให้หนำใจ

คดีแย่งเด็กฉบับพระเจ้าโซโลมอน

king-solomon-raffaello-decision     ถึงแม้เราจะประทับใจกับอุบายอันชาญฉลาดของพระมโหสถเพียงไร แต่เรื่องนี้ก็น่าเปรียบเทียบกับคดีเด็ดของพระเจ้าโซโลมอน (Solomon) ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ดังนี้ มีหญิงสองคนนำเด็กทารกมาหาพระเจ้าโซโลมอนหญิงคนแรกกล่าวว่า “ดิฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับหญิงอีกคนหนึ่ง เราทั้งสองได้ให้กำเนิดทารกในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อคืนนี้ นังนั่นนอนทับลูกของตัวเองจนหายใจไม่ออกและก็ตาย ก็เลยเอาเด็กที่ตายแล้วมาสับเปลี่ยนกับลูกของดิฉัน แล้วตู่ว่าลูกของดิฉันที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นลูกของเขา ดิฉันนี่แหละที่เป็นแม่ที่แท้จริง”

     ส่วนหญิงคนที่สองนั้นก็เล่าเรื่องเหมือนกันเด๊ะ และยืนยันว่าตัวเธอเองต่างหากที่เป็นแม่ที่แท้จริงของเด็ก พระเจ้าโซโลมอนผู้ปรีชาจึงตัดสินว่า ในเมื่อต่างฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นแม่ ดังนั้นทางที่ยุติธรรมที่สุดก็คือ ผ่าเด็กเป็นสองซีก แล้วแบ่งกันไปคนละซีก !!! เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่ตัวจริงก็ร้องอ้อนวอนขึ้นว่าให้ยกเด็กคนนี้ให้กับหญิงอีกคนหนึ่งเถิด ส่วนแม่ตัวปลอมซึ่งอยากเห็นเด็กที่ไม่ใช่ลูกตนตายตกตามไปด้วยความริษยาก็รับคำตัดสินนี้ พระเจ้าโซโลมอนจึงตัดสินได้ทันที

คดีแย่งเด็กฉบับญี่ปุ่น

201_25     คดีแย่งเด็กยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะพี่ยุ่นเขาก็มีคล้ายๆกัน โดยเป็นคดีที่ตัดสินโดยท่านโอโอกะ ยอดผู้พิพากษาที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาและอารมณ์ขัน เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า หญิงทั้งสองที่ต่างอ้างว่าตนเป็นแม่ของเด็กนั้นเพิ่งย้ายเข้ามาในเมืองเอโดะ ทำให้หาพยานยืนยันไม่ได้ ท่านโอโอกะจึงเริ่มพิจารณาคดีโดยวางเด็กไว้ที่กลางห้อง หวังว่าเด็กจะคลานเข้าไปหาแม่ แต่อนิจจา…เด็กน้อยกลับคลานเข้าไปหาท่านโอโอกะแทน แถมยังร้องให้อุ้ม เล่นเอาผู้คนที่มารอฟังการตัดสินคดีหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน ส่วนท่านโอโอกะนั้นถึงกับหูเปลี่ยนเป็นสีชมพูด้วยความขวยเขิน

     อะโน…เอาใหม่…คราวนี้ท่านโอโอกะใช้ลีลาพระมโหสถ โดยสั่งให้ทั้งสองจับมือเด็กคนละข้าง ใครดึงได้ก็ได้ตัวเด็กไป แต่ทั้งแม่ตัวจริงและตัวปลอมในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นไม่ยักกะเล่นด้วย! อ้าว ทำไงดี ท่านโอโอกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงงัดท่าไม้ตายออกมาใช้ โดยสั่งให้จ่าศาลไปซื้อตะเกียบไม้ไผ่ อ่างใส่ปลาทอง ไม้แผ่นเล็กๆ สามแผ่น แว่นขยาย แล้วก็ตำราหมอดู ผู้คนที่มาเฝ้าดูก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง เพราะคิดว่ายอดผู้พิพากษาคงจะหมดมุข จนต้องพึ่งหมอดูซะแล้ว แต่ท่านโอโอกะยังทำใจเย็น โดยเริ่มหยิบตะเกียบไม้ไผ่มาพลิกดู นั่งนับจำนวนฟองในอ่างปลาทอง ยกไม้แผ่นเล็กๆแนบหูเพื่อฟังเสียง จากนั้นก็ใช้แว่นขยายดูลายมือของหญิงทั้งสอง ทั้งหมดนี้ท่านโอโอกะได้พลิกตำราหมอดูประกอบเป็นช่วงๆ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่ทุกคนก็จ้องมองตาไม่กะพริบ…จนกระทั่งในที่สุดท่านโอโอกะก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเหตุการณ์ในอนาคตชัดเจนทีเดียว วิธีการต่างๆล้วนบ่งบอกอนาคตได้สอดคล้องต้องกันข้าจึงเชื่อว่าคำทำนายนี้ต้องเป็นความจริงแน่นอน” ถึงตอนนี้ทุกคนที่ฟังอยู่ก็หูผึ่ง

“ข้าเห็นภาพอนาคตแม่ลูกคู่นี้ได้ดีทีเดียว เด็กผู้นี้จะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสถึงขั้นพิการทำอะไรไม่ได้ตอนอายุ 20 และผู้เป็นแม่จะต้องทำมาหากินเลี้ยงลูกชายผู้ทุพพลภาพ ด้วยการทำงานในท้องไร่ท้องนา…ส่วนผู้เป็นแม่ตามที่ข้าเห็นก็คือ…

ท่านโอโอกะยังไม่ทันจะกล่าวต่อ แม่ตัวปลอมก็ออกตัวยอมรับออกมาเสียก่อนว่าที่ตนอยากได้เด็กคนนี้เพียงเพราะหวังว่าเขาจะทำมาหากินแล้วนำเงินทรัพย์สินต่างๆมาคอยเลี้ยงดูตนในยามที่ตนแก่เฒ่า ส่วนแม่ตัวจริงนั้นล่ะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม่ตัวจริงบอกกับท่านโอโอกะว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ตราบเท่าที่เธอยังมีลมหายใจอยู่เธอก็จะเลี้ยงเด็กน้อยผู้นี้ไปตลอด ต่อให้เขาจะย่ำแย่แค่ไหนและเธอต้องลำบากขนาดไหน เธอก็จะเลี้ยงดูเด็กคนนี้อย่างดีที่สุดแม้จะลำบากจนตาย แต่ก็เป็นการตายอย่างมีความสุขที่สุดเพราะได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างเต็มความสามารถแล้ว

วิเคราะห์คดีแย่งเด็ก เราได้อะไรจากเรื่องนี้

     เรื่องของคดีแย่งเด็กทั้ง 3 สไตล์เป็นเรื่องราวที่สะท้อน “วิธีแก้ปัญหาด้วยปัญญา” ของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจตรงที่ว่า ในชีวิตประจำวันของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในฐานะพนักงานหรือเจ้าของธุรกิจเองก็ตาม เราได้ลองใช้วิธีการแก้ปัญหาเรื่องราวต่างๆด้วย “ไหวพริบเชาว์ปัญญา” อย่างนี้บ้างหรือไม่ ? หลายคนอาจจะตอบเลยว่าไม่ เพราะวันๆอยู่แต่กับงานอันน่าเบื่อ ที่หมดความท้าทาย เจ้าของธุรกิจก็มัววุ่นอยู่แต่กับการหาและเอาใจลูกค้า วัยรุ่นก็อยู่แต่กับเพื่อนและการเรียนวิชาการอันซ้ำซากจำเจ วิถีความวุ่นวายแบบไทยๆ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเอื้ออำนวยกับการคิดแก้ปัญหาแบบใช้ไหวพริบกันสักเท่าไหร่ ใช่นั่นก็ไม่ผิดเลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆแหละ แต่ว่า “คุณจะปล่อยใช้ชีวิตคุณจมอยู่แบบนี้เหรอ” การปลดแอกตัวเองมันต้องเริ่มต้นจากคุณนั่นแหละ ไม่ต้องรอใครหรือรัฐบาลไหนมาช่วย ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่เริ่มต้นจากตัวคุณเอง” กลยุทธ์ในการเอาชนะปัญหาต่างๆ ของคดีแย่งเด็กนั้นสรุปรวมความแล้วก็คือ “กลยุทธ์การเล่นกับความรู้สึกของคน” การขู่ว่าจะทำอะไรกับเด็กสักอย่าง นั่นย่อมทำให้ใจของผู้เป็นแม่แท้ๆ “ร่วง” ทันที คุณเคยใช้วิธีทำให้ใจคน “ร่วง” ในเชิงบวกแบบนี้บ้างไหมล่ะ เอ…แล้วมันจะเอามาใช้ยังไงกันนะ มามะมาดูตัวอย่าง

sell_ur_watches     ที่ร้านนาฬิกาแห่งหนึ่งมีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้าไปเพื่อเลือกซื้อนาฬิกา เขาขอดูนาฬิกาอยู่หลายรุ่นหลายอัน ลองสวมใส่ลองปรับระบบนาฬิกาอยู่นาน แต่ก็ไม่ซื้อสักที เพราะเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อเรือนไหนที่ทนทานและดีที่สุดสำหรับเขา ความสวยน่ะผ่านแล้ว เหลือแต่ความทนทานที่เขาไม่รู้ พนักงานขายเริ่มรู้สึกรำคาญลูกค้าคนนี้แล้ว ถามตั้งเยอะ เขาก็ตอบไปตั้งเยอะแนะนำไปก็นานแต่ ยังงั้ยยังไงลูกค้าคนนี้ก็ไม่ซื้อสักที พนักงานคนนี้จึงตัดสินใจถามตรงๆกับลูกค้าว่า

“พี่เลือกไม่ได้ใช่ไหมครับว่าจะเอาเรือนไหน”

ลูกค้าตอบว่า

“ใช่ มันสวยเหมือนกันทุกเรือน แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันจะทนแค่ไหน”

พนักงานเห็นว่าลูกค้าเปิดช่องแล้ว เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง

“เอางี้ครับพี่ ผมคุยกับพี่ตั้งนานแล้ว ผมเองก็อยากขายและพี่เองก็อยากซื้อ ผมจะบอกความลับพี่สักอย่าง เอาหูมาใกล้ๆครับ เดี๋ยวเถ้าแก่ผมได้ยิน”

ลูกค้าก็ขยับเข้าไปใกล้ๆพนักงาน และพนักงานก็กระซิบบอกเบาๆว่า

“นาฬิกาในร้านนี้น่ะครับส่วนใหญ่ไม่ค่อยทนนัก ถึงจะเป็นของแท้ก็เถอะ แต่มีอยู่รุ่นหนึ่งที่ทนมาก”

“เหรอรุ่นไหนน่ะ” ลูกค้าเริ่มสนใจ

“ก็รุ่นที่พี่ถืออยู่ในมือนี่แหละครับ”

ลูกค้าก็รู้สึกประหลาดใจ และทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อนัก แต่พนักงานยังรุกต่อ

“แหม่ ผมรู้ว่าพี่ก็เซียนนาฬิกาคนหนึ่ง เพราะพี่เลือกได้ละเอียดมาก และมาจบท้ายด้วยอันที่ดีที่สุดของร้านเสียด้วย”

ความจริงมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย แต่โดนพูดยกยอไปเสียขนาดนั้นก็ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ เพราะปฏิเสธไปก็เสียเหลี่ยมทันที ลูกค้าจึงพูดอ้อมแอ้มไปว่า

“เออ มันก็ใช่ แต่ถึงเรือนนี้จะดีที่สุด แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่ามันจะทนจริงๆ”

ไม่รอช้า พนักงานจึงบอกให้ลูกค้ายื่นนาฬิกาที่ถืออยู่มาให้เขา พอเขารับมาเขาก็ทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องตกตะลึง

“ปังๆๆ”

พนักงานขายนาฬิกากระหน่ำฟาดนาฬิกาไปบนโต๊ะแบบไม่ยั้ง ที่เขาทำแบนั้นไม่ใช่ว่าเขา “บ้า” หรือ ประชดลูกค้า แต่เขารู้อยู่แล้วว่า นาฬิการุ่นที่เขาถือมาฟาดโต๊ะนี้ทนทานจริงๆ และที่โรงงานที่ผลิตนาฬิการุ่นนี้ก็จะมีการทดสอบคุณภาพความทนทานของนาฬิกาก่อนออกวางจำหน่ายด้วยวิธีที่ใกล้เคียงกันแบบนี้ด้วย ที่เขากระทำไปเบาไปด้วยซ้ำ เขาจึงฟาดแบบไม่ยั้งลูกค้าเห็นแบบนั้นตะลึง ตกใจหน้าถอดสี

“พี่เห็นไหมครับ มันทนมากผมฟาดไปตั้งกี่ที รอยถลอกก็ไม่มี ไม่แตกไม่ร้าว และระบบยังทำงานได้ดีเหมือนเดิมเลยด้วย”

“เชื่อแล้วๆ ทนจริงๆ เอารุ่นนี้แหละ ซื้อเลย แต่ขอเปลี่ยนเรือนสักหน่อยก็ดีนะ”

    

     เห็นไหมว่ากลยุทธ์การเล่นกับความรู้สึกของคน ถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ในการทำงานและในชีวิตของเราเหมือนกันนะ