HIGHLIGHTS:

  • ปัญหาและอุปสรรคของชีวิต แท้จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราทุกคน สิ่งที่คุณมองว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคจริงๆแล้วถ้าคุณมองอย่างสายตานักปราชญ์คุณจะเห็นว่ามันไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาทำลายชีวิต แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้นและเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
  • สังคมไทยเราเป็นสังคมที่พร้อมจะมองทุกอย่างในแง่ลบเสมอ  เราจึงเห็นประเด็นดราม่าเกิดขึ้นทุกวันในโลกโซเชียล รวมไปถึงสังคมจริงๆ เราพร้อมจะตำหนิติเตียนทุกอย่างที่เราพบ เราเห็น เราได้ยินได้ฟัง เราพร้อมจะวิจารณ์ในเชิงเสียหายทั้งๆที่เรื่องราวต่างๆยังไม่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์จากสมอง ยังไม่มีคำอธิบายออกมาจากสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยิน และที่สำคัญสิ่งที่วิจารณ์ออกไปนั้นบางทีคนวิจารณ์เองก็ทำเช่นกัน ทัศนคติในแง่ลบแบบนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้สังคมไทยไม่เดินหน้า จึงได้เวลาแล้วที่คนไทยจะสลัดความคิดเชิงลบออกไปจากจิตใจ
  • งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็จริง แต่คุณก็อย่าลืมว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นก็ยังมีส่วนอื่นๆเป็นองค์ประกอบด้วยเช่น ครอบครัว เพื่อน และก็ตัวคุณเอง อย่ามัวแต่เอาเวลาไปมุ่งอยู่กับงานอยู่อย่างเดียวจนคุณไม่มี Space ให้กับส่วนอื่นๆในชีวิต เพราะชีวิตเป็นของเราดังนั้น จงใช้ชีวิตในทุกวันให้สนุกอยู่เสมอ

นักกีฬาเทควันโดกว่าจะยกขาเตะสูงได้จนเลยศีรษะฝ่ายตรงข้ามได้ ต้องมีการฝึกฉีกขาและยืดเส้นเอ็นอย่างหนักฉันใด เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ก็ต้องผ่านการฝึกฝนเคียวกรำจากความทุกข์ยากฉันนั้นเช่นกัน เมื่อคุณรู้ว่าความทุกข์ ความพ่ายแพ้ ความผิดหวังเป็นบทเรียนที่สำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตแบบนี้แล้ว ทำไมจะต้องกลัวด้วยล่ะ ลองสนุกกับสิ่งเหล่านี้ดูสักตั้งสิ

สลัดเรื่องแย่ๆออกจากชีวิต เปลี่ยนแค่วิธีคิดก็ทำได้แล้ว

     คุณเชื่อไหมว่าคุณสามารถที่จะสลัดสิ่งแย่ๆหรือที่คุณเรียกว่า “โชคร้าย” ออกจากชีวิตได้ โดยไม่ต้องไปพึ่งเกจิอาจารย์เครื่องรางของขลังที่ไหนเลย เคล็ดลับนั้นจริงๆแล้วง่ายนิดเดียว คือ แค่ “เปลี่ยนวิธีคิด” เชื่อว่าทุกคนคงรู้จัก ญาญ่าญิ๋ง-รฐา โพธิ์งาม กันเป็นอย่างดี ปัจจุบันเธอมีผลงานในระดับอินเตอร์แล้วด้วย อย่างที่เรารู้ๆและทราบข่าวกันมาโดยตลอดสำหรับเรื่องราวดราม่าในชีวิตของเธอ ใครบอกว่าเป็นดาราแล้วชีวิตจะรุ่งพุ่งแรงเสมอ ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย วงการนี้เป็นที่ทราบกันว่าต้องอาศัยทั้งหน้าตาและความสามารถ ญาญ่าญิ๋ง-รฐา โพธิ์งามเธออยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยหน้าตาก็ไม่ได้ว่าสวยสะดุดตานักอาศัยความสามารถล้วนๆจึงทำให้เธอมีอัลบั้มเพลงของตนเองแล้วก็เงียบหายไป ข่าวของเธอก็ไม่ได้เงียบหายไปเลยซะทีเดียวเพราะเธอมีงานในวงการบันเทิงเป็นระยะๆ แต่แล้วอยู่ๆก็มีข่าวที่เป็นประเด็นดราม่าเรื่องภาระหนี้สินจากการทำธุรกิจของครอบครัว ด้วยสถานะทางสังคมที่เธอก็เป็นหนึ่งในบุคคลสาธารณะทำให้เธอต้องแบกรับความทุกข์หนักกว่าบุคคลทั่วไป ความเจ็บปวด ความอับอายและความเป็นห่วงครอบครัวมันบีบคั้นเธออย่างมาก แต่เธอก็ไม่ได้ยอมจมอยู่กับความทุกข์และปัญหา ไม่ได้ยอมแพ้กับชะตาชีวิต เธอตัดสินใจสลัดความทุกข์ทั้งหมดด้วยการเริ่มต้นจากการ “เปลี่ยนวิธีคิด” เธอเดินกลับเข้าวงการบันเทิงอีกครั้งและไม่ลืมพกพาความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวเธอเข้าไปด้วยอย่างเต็มกระเป๋า รับงานแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ และก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้ามาในเส้นทางสายนี้อย่างเต็มตัว เธอก็ปรับทัศคติของเธอต่อชีวิตเป็นมุมบวกทั้งหมด เธอปฏิวัติตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วยการ “ศัลยกรรม”

ทัศนคติในเชิงลบไม่ได้ช่วยอะไร

     จงยอมรับกันเถอะว่าแทบจะทุกคนจะเม้าท์มอยทั้งในโลกโซเชียลและในวงสนทนาต่างๆเกี่ยวกับเรื่องดาราทำศัลยกรรมกันเป็นประจำ จะเรียกง่ายๆว่า นินทาดาราในเรื่องนี้ก็ว่าได้ และส่วนใหญ่แล้วการเม้าท์มอยนินทาในเรื่องดาราทำศัลยกรรมก็มักจะเป็นมุมมองในเชิงลบเสียมากกว่า ถ้าจะกล่าวว่า “คนส่วนใหญ่มักมองเรื่องของการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องเชิงลบ” ก็คงจะกล่าวได้จริงไหม แต่ที่น่าตลกสิ้นดีก็คือ เราไม่ชอบคนทำศัลยกรรม แต่ตัวเราเองหรือคนรอบข้างเราก็แอบไปทำศัลกรรมเสริมนั่นแต่งนี่กันบ่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชาย บางคนอดทนทำงานเก็บเงินไปทำถึงเกาหลีเลยก็มี จนตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของธุรกิจความงามและการศัลยกรรมนั้นพุ่งสูงอย่างเร็วและแรงกว่าสัญญาณ 4G และก็เพราะทัศนคติเชิงลบเหล่านี้นั่นแหละที่ทำให้เราก้าวไม่พ้น “วิกฤต” ของชีวิต และต้องจมอยู่กับ “ปัญหา” มาโดยตลอด

สำหรับญาญ่าญิ๋ง-รฐา โพธิ์งาม เธอคือดาราสาวที่มองเรื่องของการ “ศัลยกรรม” ในเชิงบวก เธอคือคนหนึ่งกล้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอ “สวยเพราะศัลยกรรม” เธอเข้าใจดีว่าอาชีพในวงการบันเทิงที่ต้องอาศัยรูปลักษณ์หน้าตาเป็นสำคัญ ถ้าเธอสวยขึ้นแล้ว “โอกาสในชีวิตจะเข้ามา” มากขึ้น การศัลยกรรมก็ไม่ใช่อะไรที่เสียหายสำหรับเธอเลย เธอไม่เห็นประโยชน์ที่จะมองเรื่องนี้ในแง่ลบ แม้ว่าการศัลยกรรมจะทำให้เธอต้องเสี่ยงบ้าง แต่ถ้าทำแล้ว “พลิกชีวิต” เธอได้มันก็คุ้มค่า และก็จริงดังนั้น จุดเริ่มต้นจากการแค่เปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งที่ทุกคนมองในด้านลบมาเป็นด้านบวก ชีวิตเธอก็เปลี่ยนจริงๆ งานถาโถมเข้าหาเธออย่างมากมาย ไม่ใช่แค่เธอสวยขึ้นแล้วงานเยอะขึ้น แต่เพราะด้วยความสวยบวกความสามารถ เรียกว่า เธอ “มีของ” อยู่แล้ว จึงส่งผลให้เธอสามารถกอบโกยรายได้จากงานที่เข้ามาจนสามารถปลดหนี้แก้วิกฤตของครอบครัวไปได้อย่างราบรื่น เห็นไหมว่าทัศนคติในเชิงลบไม่ได้ช่วยให้เราสนุกกับชีวิตเลย ตรงกันข้ามกลับทำให้เราจมอยู่กับปลักของปัญหาแบบไม่มีทางหลุดพ้นเสียด้วย แล้วแบบนี้คุณจะมองสิ่งต่างๆรอบตัวของคุณเป็นลบอีกไหม จงมองความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติ ยิ้มรับและโอบกอดมันดูสิ แล้วคุณจะรู้สึกว่า ไม่มีปัญหาอะไรในโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะรับได้อีกแล้ว

 

ขอบคุณภาพบางส่วนจาก: sanook