งานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 90 ใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ ครั้งนี้เราจึงขอเกาะติดนำทุกท่านมารู้จักภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เรียกว่าม้ามืดในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งนี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง Get Out ที่ว่าเป็นม้ามืดก็เพราะว่า Get Out ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 4 สาขา นั่นคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อะไรที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นนัก เราจะมาเจาะลึกกัน

รู้จักเนื้อเรื่องGet Out กันคร่าวๆ

     Get Out เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่เล่าเรื่องราวของคู่รักหนุ่มสาวต่างสีผิวระหว่างช่างภาพหนุ่มผิวดำที่ฉายแววรุ่งโรจน์ที่ชื่อ คริส (รับบทโดย แดเนียล คาลูยา จากภาพยนตร์ Sicario) และสาวผิวขาวผู้มีนามว่า โรส (รับบทโดย อัลลิสัน วิลเลียมส์ จากซีรีส์ Girls) ทั้งคู่คบหากันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งโรสก็มองว่าถึงเวลาเสียทีที่จะชวนคริสไปเยี่ยมพ่อแม่ของตนในวันหยุด และแล้วเรื่องราวแห่งความน่าสะพรึงก็เริ่มต้นจากจุดนั่น หนังผูกปมเรื่องเริ่มต้นจากประเด็นความต่างของสีผิว แต่การขมวดปมดำเดินเรื่องกลับมีกลเม็ดที่แยบคายและชาญฉลาดในการดำเนินไปสู่การเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ซึ่งดูแปลกใหม่โดนใจผู้คน

     ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาพยนตร์ที่ใช้เวลาถ่ายทำเพียง 23 วัน และใช้ทุนสร้างไปเพียง 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จะได้เสียงตอบรับจากผู้ชมเกินคาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ และนั่นนำไปสู่สถิติใหม่คือ จอร์แดน พีลนักเขียนบทและผู้กำกับของเรื่องนี้กลายเป็นคนผิวดำคนแรกที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐในการรับหน้าที่กำกับภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียว

เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

     จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกมากที่หนังสยองขวัญเข้าชิงออสการ์ เพราะคงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักที่ผ่านมาภาพยนตร์สยองขวัญที่เข้าชิงออสการ์ก็พอจะมีอยู่บ้างอย่าง The Sixth Sense (2000), The Exorcist (1973), Jaws (1975), The Silence of the Lambs (1991) และ Black Swan (2010) และมาปีนี้Get Out ก็เป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ได้เข้าชิง ด้วยการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ โครงเรื่องปูทางมาอย่างน่าสนใจ รวมถึงการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่ดูซับซ้อน จึงทำให้หลายๆอย่างลงตัวอย่างไม่มีใครคาดคิด ข้ามมาดูในงานโปรดักชัน องค์ประกอบภาพ และโทนสีก็เรียกว่าเฉียบขาดเหมือนกัน เพราะมีการเลือกใช้โทนสีของหนังให้เข้ากับอารมณ์ตัวละครในเรื่องอยู่ตลอดเวลา คนดูจึงสามารถมีอารมณ์ร่วมและระทึกไปกับหนังได้อย่างง่ายดายแบบไม่รู้ตัว

เข้าชิงสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

Get-Out_content-copy-11     อันเนื่องมาจากจอร์แดน พีลเป็นทั้งคนเขียนบทเองและกำกับเองทั้งหมด นั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้ถูกทำออกมาได้อย่างน่าสนใจเพราะทุกขั้นตอนเหมือนกับการดึงเอาภาพที่อยู่ในหัวของจอร์แดน พีลออกมาทีละนิดทีละน้อยและมารวมกันจนสมบูรณ์ที่สุด สิ่งเหล่านี้เหมือนจะดูว่ามันเกิดขึ้นอย่างง่ายดายแต่เปล่าเลย ในสังคมอเมริกันถึงอย่างไรก็ยังมีการเหยียดผิวอยู่เล็กๆอยู่ดี การที่ดาราจะผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับนั้นมันจึงไม่ง่ายอย่างที่คิด จอร์แดน พีลใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้บนบทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับ เขาต้องตระเวนหานายทุนผู้สนับสนุนอยู่นานทีเดียว และประเด็นหลักๆก็เกี่ยวกับเรื่องสีผิว เพราะวงการภาพยนตร์ Hollywood ไม่ค่อยมีผู้กำกับผิวดำสักเท่าไหร่ที่จะทำงานออกมาแล้วแล้วประสบความสำเร็จ จอร์แดน พีลนำเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ผิวสีคนที่ 5 ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากการประกาศรางวัลออสการ์มา 90 ปี

เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

     บทเด่นที่สุดของเรื่องก็คือ คริส ซึ่งรับหน้าที่แสดงโดย แดเนียล คาลูยา ชายผู้นี้เริ่มต้นเป็นนักแสดงในปี 2006 กับการรับบทเป็น รีซ ในภาพยนตร์เรื่อง Shoot the Messenger และในปี 2007 ได้รับเชิญมาร่วมแสดงในซีรีส์ Skins ซึ่งเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมมากในอังกฤษ นับจากนั้นเป็นต้นมากเขาก็มีผลงานใน Hollywood ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนจะจำเขาได้ในบท แบล็กเดธ ในภาพยนตร์เรื่อง Kick Ass 2 สำหรับบทบาทการแสดงของเขาใน Get Out เขาก็ทำให้คนดูถึงกับอึ่งไปเหมือนกัน เพราะการส่งอารมณ์ของเขาทำได้ดีจนหลายคนคาดไม่ถึง การแสดงความหวาดกลัว ประหม่า จนถึงการต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็ง เขาสามารถเชื่อมโยงอารมณ์ต่างๆของตัวละครตัวนี้ไปถึงผู้ชมได้อย่างละเอียด และที่สำคัญแดเนียล คาลูยาคือดารานักแสดงผิวดำคนแรกที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนังสยองขวัญอีกด้วย

เข้าชิงสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

     จอร์แดน พีลเปิดเผยว่าบทของเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนหนึ่งของชีวิตเขาเอง ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องเดินทางไปพบพ่อแม่ของแฟนเขา ซึ่งตัวเขาเองเครียดและประหม่ามาก กลัวไปหมด เพราะแฟนของเขาไม่เคยบอกพ่อแม่เลยว่าคบกับคนผิวดำ เขาหยิบจับเขาเรื่องราวส่วนหนึ่งนี้มาแต่งเติมเติมสีออกมาใหม่ ใส่ประเด็นเรื่องความทุกข์ของคนดำเข้าไป พลิกแพลงจนการเป็นบทภาพยนตร์สยองขวัญแบบที่แตกต่าง และส่วนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาได้สร้างสรรค์บทภาพยนตร์นี้ขึ้นมารได้ก็คือ หนังเรื่อง Eddie Murphy: Delirious (1983) ของเอ็ดดี เมอร์ฟีที่ช่วยเติมเต็มบทภาพยนตร์เรื่องนี้จนสมบูรณ์ที่สุด

     คงจะรู้ผลกันอีกไม่ช้านี้แล้วว่า Get Out จะคว้ารางวัลอะไรไปได้บ้างในงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 90 นี้