ถ้าให้คุณเลือกระหว่างกระเป๋าแบรนด์เนมกับกระเป๋าที่ไม่มีแบรนด์แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตอบโจทย์การใช้งาน สามารถสะท้อนตัวตนและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้ใช้งานออกมาได้เป็นอย่างดี คุณจะเลือกกระเป๋าแบบไหน? เราเชื่อเลยว่าส่วนใหญ่คงจะเลือกกระเป๋าไม่มีแบรนด์แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแน่นอน คนทำธุรกิจกระเป๋าจึงต้องปรับตัวกันได้แล้ว เมื่อรสนิยมผู้คนเปลี่ยน โจทย์ในการทำธุรกิจกระเป๋าจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

NAMETAG กระเป๋าที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้งาน

     ผู้บริโภคในยุคใหม่นี้มักชอบอะไรที่เป็นเอกลักษณ์และไม่ซ้ำแบบใคร นั่นจึงทำให้การเลือกซื้อสินค้าอะไรสักอย่างจึบพิถีพิถันมากขึ้น เพราะความซับซ้อนในตัวเองที่มากขึ้นของผู้บริโภค จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้การทำธุรกิจในทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ ยิ่งใครที่สนใจในธุรกิจกระเป๋ายิ่งจะยึดติดกับกระเป๋าแบรนด์เนมไม่ได้อีกต่อไป เพราะกระเป๋าแบรนด์เนมไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ดีนัก มาสิริ ตามสกุลเจ้าของร้านเสื้อผ้าวินเทจ Again & Again จึงจับเอาเทรนด์ของผู้บริโภคมายัดใส่กระเป๋าของตนจนทำให้เกิดธุรกิจใหม่ เป็นธุรกิจกระเป๋าปักชื่อภายใต้แบรนด์ NAMETAG ขึ้นมา ไอเดียนั่นเริ่มจากตอนที่เธอไปเที่ยวอิตาลี ตอนที่เธอจะลงเรือ เจ้าหน้าที่เขาก็จะเอากระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารไปกองรวมกัน ด้วยความเป็นห่วงของของตนเองจึงทำให้คิดว่า น่าจะเขียนชื่อติดกระเป๋าไว้ด้วย จุดเริ่มต้นตรงนี้เองที่จุดประกายให้เธอ อยากลองทำกระเป๋าที่มีชื่อของผู้เป็นเจ้าของอยู่บนกระเป๋าดู เพราะคิดว่าน่าจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของมั่นใจมากขึ้นเวลาไปไหน จะวางไว้ตรงไหนรวมกับกระเป๋าใครก็ไม่ต้องห่วงเพราะไม่มีทางปนกันหรือหยิบผิดแน่นอน แม้ว่ารูปร่าง ทรงและสีกระเป๋าจะเหมือนกันก็ตาม เพราะเมื่อมีชื่อเจ้าของเย็บติดไปแบบนั้น ก็มีเจ้าของเพียงคนเดียวอยู่แล้ว เธอจึงไม่รอช้าลองไปปรึกษากับโรงงานผลิตกระเป๋า ซึ่งตอนแรกเธอก็ไม่คิดว่าจะทำจริงจังอะไรมาก เพราะก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีคนซื้อหรือไม่ เลยทำขั้นต่ำขึ้นมาก่อนสัก 20 ใบ เพราะในจำนวนนี้หากขายไม่ได้ก็ยังพอที่จะนำไปให้เพื่อนๆหรือคนสนิทได้อยู่ การผลิตจึงเริ่มต้นและผสานเข้ากับการตลาดออนไลน์ผ่าน IG และแล้วกระเป๋าปักชื่อภายใต้แบรนด์ NAMETAG ก็เป็นที่รู้จัก ยอดจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆแบบที่เธอก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

“เราจะฟังลูกค้าว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถามหาอะไร แล้วนำมาออกแบบกระเป๋า เพื่อให้กระเป๋าของ NAMETAG เป็นสินค้าที่มีความพิเศษระดับบุคคลมากที่สุด”

                                                                        มาสิริ ตามสกุล

                                                 เจ้าของแบรนด์กระเป๋า NAMETAG

คิดจะเป็น Startup ก็ต้องไม่หยุดพัฒนา

     เมื่อกระเป๋า NAMETAG เริ่มเป็นที่รู้จัก คุณมาสิริจึงเริ่มตระหนักว่าเธอได้สร้างสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการขึ้นมาแล้ว ตลาดเปิดแล้ว ทุกคนเริ่มที่จะต้องการกระเป๋าที่มีเอกลักษณ์ มีใบเดียวในโลกกันมากขึ้นเรื่อยๆหากเธอจะหยุดอยู่แค่นี้ มันจะมีประโยชน์อะไร การจะเป็น Startup ที่มีคุณภาพก็จะต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองอยู่แค่นี้ หน้าที่ของ Startup คือจะต้องสร้างสรรค์สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ และจะต้องไม่หยุดพัฒนาในการตอบสนองผู้บริโภคด้วย แม้คนหนึ่งคนจะต้องการกระเป๋าสักหนึ่งใบที่สะท้อนความเป็นตัวตนออกมาก็จริง แต่ก็ใช่ว่าคนๆนั้นจะต้องมีกระเป๋าใบนั้นใบเดียว หนึ่งเดียวในโลกใช่ว่าจะต้องเป็นเพียง 1 เสมอไป สิ่งที่ไม่เหมือนใครจะมีมากว่า 1 ก็ได้ คุณมาสิริจึงทำการออกแบบกระเป๋าแบบอื่นๆเพิ่มขึ้นมา ภายใต้แนวคิดเดิมคือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้คน นี่จึงทำให้แบบกระเป๋าของ NAMETAG เอาต์ยากและที่สำคัญยังมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ด้วย

 

summary

  • การทำธุรกิจยุคใหม่นี้ ต้องรู้จักนำหลัก Personalized มาใช้กับธุรกิจของคุณ เพราะสามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ไม่เหมือนกันได้  ลูกค้าจะรู้สึกได้ว่าสินค้าและบริการของคุณถูกสร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะพวกเขาเท่านั้น แต่ทั้งนี้หลัก Personalized ก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก เพราะคุณจะต้องรู้และเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเสียก่อนคุณถึงจะสร้างสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับพวกเขาได้
  • การจะก้าวเข้ามาเป็น Startup แค่มีทุนอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีไอเดียที่สร้างสรรค์และที่สำคัญจะต้องไม่หยุดพัฒนาตนเอง เมื่อโลกเปลี่ยนเทรนด์เปลี่ยน Startup จะต้องพัฒนาและปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามโลกที่เปลี่ยนไปด้วย ถึงจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้