HIGHLIGHTS:

  • หนุ่มสาวยุคใหม่ให้น้ำหนักในเรื่องของการใช้ชีวิตระหว่างการทำงานและการพักผ่อนในมุมมองที่แตกต่างกันไปอย่างสุดขั้ว โดยมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันในตนเอง ทำงานชิล แต่เที่ยวหนัก ทั้งๆที่ ควรจะเป็นในทางกลับกันคือทำงานหนักและเที่ยวชิลๆ ขอให้คุณจงจำไว้ว่า จริงๆแล้วงานกับเล่น คุณสามารถทำให้มันเป็นเรื่องเดียวกันได้โดยไม่ต้องฝืน การทำงานก็คือชีวิต และงานก็คือภาพสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณ คุณค่าของคุณจะบ่งบอกออกมาจากงานที่สร้างสรรค์ออกมา ไม่ใช่การใช้ชีวิตไปวันๆ
  • ขอให้คุณคิดดูเล่นๆถ้าโธมัส อัลวาเอดิสันจะต้องเลิกงานทุก 5 โมงเย็น   สตีฟ จ็อบส์ ต้องไป      แฮงเอาท์กับกลุ่มเพื่อนทุกสุดสัปดาห์ หรือมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะต้องแบ็คแพ็คท่องโลกเพื่อดูเพื่อเห็นอะไรใหม่ๆทุกไตรมาสของการทำงาน พวกเราจะมีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกให้ได้เห็นและใช้งานอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรือไม่นะ

     จากผลสำรวจของเฮย์กรุ๊ป อินไซต์ ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการองค์กรพบว่า ในองค์กรที่ไม่สนับสนุนเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน มักประสบปัญหาพนักงานมากกว่า 1 ใน 4 หรือคิดเป็นจำนวน 27 % ขององค์กร จะวางแผนลาออกจากองค์กรภายใน 2 ปี ในขณะที่องค์กรที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ มีอัตราการลาออกของพนักงานลดลง และสามารถช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายลงได้นับร้อยล้านบาท รวมทั้งยังช่วยให้พนักงานทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเพิ่มความจงรักภักดีต่อองค์กรมากขึ้นด้วย

Work – Life Balance จัดสมดุลได้ดี ชีวีก็จะชิลๆ

work-life-balance     Work – Life Balance เป็นแนวคิดการใช้ชีวิตที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน แต่การจัดลำดับความสำคัญที่ผิดไปเพียงเล็กน้อย สมดุลของชีวิตก็สูญเสียไปในทันที ชีวิตครอบครัว การทำงานและเวลาส่วนตัว 3 สิ่งนี้จะต้องมีการจัดลำดับและถ่วงดุลให้ดี ความสุขในการใช้ชีวิตจึงจะเกิดขึ้น หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าจะจัดลำดับความสำคัญได้อย่างไร ในเมื่อที่ทำงานกำหนดมาแล้วว่าต้องเข้าทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ งานเข้า 8โมงครึ่ง เลิกงาน 5 โมงเย็น จะเอาเวลาที่ไหนไปจัดลำดับความสำคัญเรื่องอื่นๆเพื่อให้เกิดความสมดุลในชีวิตได้ ลองเปลี่ยนระบบการทำงานของเราไปเป็นเหมือนต่างประเทศสิ แบบนี้อาจจะทำให้ชีวิตมีความสมดุลได้ ถ้าคุณคิดประมาณนี้อยู่ล่ะก็ เราก็ขอหยิบยกเอาผลการสำรวจหนึ่งที่กล่าวว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ติดอันดับมีความสมดุลในชีวิตและการทำงานที่สูงที่สุด คือมีระบบให้คนไปพักผ่อนอย่างเท่าเทียม พวก Startup หรือคนวัยเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ จะได้วันลาพักร้อนปีละ 13 วัน ถ้าใครทำงานตอนอายุ 50 ปี วันลาจะเพิ่มเป็น 26 วัน หรือถ้าเป็นในยุโรปยิ่งสุดยอดเป็นฝันหวานของคนทำงาน เพราะมีอะไรหลายอย่างที่เจ๋งไม่แพ้กัน เช่น คนทำงานสูงวัยในอิตาลีนั้น จะได้เวลาพักร้อนถึง 45 วัน ฝรั่งเศสหยุดพักร้อนได้ถึง 3 เดือน ในขณะที่สเปนมีวัฒนธรรมของการงีบตอนกลางวัน เพราะเชื่อกันว่าเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

     สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นวัฒนธรรมแห่งความฉาบฉวยของคนไทย ที่ถนัดสังเคราะห์มากกว่าวิเคราะห์ เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่ตัวเองมองว่าสวยงามดูดี โดยที่ไม่ได้มองให้รอบด้านเสียก่อน การที่เราบอกว่าคนชาติอื่นประสบความสำเร็จได้เพราะรักษาสมดุลของการพักผ่อนควบคู่กันไปกับการทำงานและพูดพร่ำยกยอพวกเขาเสียเต็มประดานั้นแท้ที่จริงแล้วเรากำลังจงใจที่จะละเว้นไม่มองถึงอีกด้านหนึ่งของสิ่งที่สวยหรูนี้หรือเปล่า วัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรปหรือญี่ปุ่นก็ตาม เขามักจะถือคติว่างานคืองาน พักก็คือพัก เวลาทำงานนี่แทบจะพูดกันเฉพาะเรื่องงาน ต่างคนต่างทำงานกันอย่างจริงจัง ไม่คุยเรื่องละคร ไม่แอบเปิดอีกหน้าต่างเพื่อโหลดบิทไปด้วย ไม่แชท Facebook คุยLine พอ 5 โมงตรงก็เก็บของปิดไฟกลับบ้าน มีเรื่องเล่าจากคนไทยที่ไปเที่ยวอังกฤษมาว่า เขาได้ไปนั่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างรอเฟรนช์ฟรายส์ที่สั่งไป ประมาณ 10 นาที นาฬิกาก็ส่งสัญญาณบอกเวลา 5 โมงเย็น และเขาก็เห็นคนที่เป็นพ่อครัวของร้าน ที่เมื่อสักครู่นี้ยืนทอดไก่ทำอาหารอย่างง่วนอยู่ เดินออกมาถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้ววางไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเปิดประตูกลับบ้านไปเลย ซึ่งขณะนั้นลูกค้าก็ยังมีอยู่หลายคนในร้านโดยที่ไม่สนเลยว่าลูกค้าจะสั่งอะไร จะรออะไร ในขณะที่เจ้าของร้านนอกจากจะเฉยๆกับพ่อครัวของร้านที่เพิ่งเดินออกไปแล้วก็ยังหันไปหยิบผ้ากันเปื้อนคาดเอว แล้วเข้าครัวไปทำเฟรนช์ฟรายส์มาเสิร์ฟให้ลูกค้าหน้าตาเฉย คุณลองนึกภาพสิ ถ้าเป็นร้านอาหารในบ้านเรา พ่อครัวคนนี้ต้องโดนสวดยับ ตัดเงินเดือนหรือโดนไล่ออกแน่ๆ แต่สำหรับในต่างแดนแล้ว นี่คือเรื่องปกติเอามากๆ

Balance ความคิดเพื่อชีวิตตัวเรา

     เราได้เห็นการ Work – Life Balance สไตล์ต่างชาติไปแล้วทีนี้มาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนไทยเราบ้าง วัฒนธรรมการทำงานของคนไทยหากงานเข้า 8 โมงครึ่ง ก็ใช่ว่าพอมาถึงที่ทำงานจะทำงานเลย เริ่มต้นจากชงกาแฟ เปิดเน็ตสำรวจดูสิว่าวันนี้มีอะไรเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์บ้าง หันไปเม้าท์มอยเรื่องตบจูบสุดฟินในละครเมื่อคืนนี้กับเพื่อนโต๊ะข้างๆ เดินไปเดินมา หากเป็นผู้ชายก็จะไปสูบบุหรี่นิดหนึ่ง ผู้หญิงก็อาจจะมีแต่งหน้าทาปาก ทักทายคนนั้นคนนี้อีกหน่อย รู้ตัวอีกที 9 โมงเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำงานเลย พอ 11 โมง ตบแป้งอีกครั้งเตรียมลงไปช้อปปิ้งที่ข้างตึก กว่าจะกินข้าวเที่ยง กว่าจะกลับขึ้นมาประจำที่ พอบ่าย 3 โมงครึ่ง เตรียมเก็บข้าวของกลับบ้านอีกแล้ว แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในทุกองค์กรหรือทุกบริษัทก็จริง แต่โดยภาพรวมเราก็รู้ๆกันอยู่ว่าเป็นเช่นนี้จริง บางคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจพยักหน้าและนึกขำอยู่ในใจก็ได้ เพราะว่ามันตรงกับตัวเองหรือในที่ทำงานตัวเองในปัจจุบัน ข้ามมาถึงเรื่องวันหยุดกันบ้าง ถ้าเทียบแล้วต่างชาติเขาจะมีวันหยุดน้อยกว่าเรามาก เพราะเขาไม่มีวันหยุดเทศกาลและนักขัตฤกษ์ยิบย่อย นั่นจึงทำให้เขา สามารถลาพักร้อนได้ปีละหลายครั้ง ครั้งละยาวๆ อาจจะครึ่งเดือน – หนึ่งเดือนกันเลย ซึ่งถ้าเราเฉลี่ยวันหยุดของเราออกมาเทียบกับต่างชาติจริงๆ เราก็จะเห็นว่าเราและเขาก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่เขาหยุดทียาวๆ แต่เราจะหยุดแบบเก็บแต้มทีละนิดทีละหน่อยแต่หยุดบ่อยๆ การหยุดยาวๆแบบต่างชาติจึงนับว่าเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตการทำงานของพวกเขาทำงานหนักจริงจัง พอหยุดพักก็พักจริงๆ เพราะเขาถือว่าการทำงานให้สัมฤทธิ์ผลนั้น ต้องไม่ใช่แค่การ Work Hard แต่ต้องเป็นการ Work Smart คือทำงานหนักตลอดปี แต่ทำแบบมีแผน รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และมีการกำหนดเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน

     ดังนั้น ในธรรมเนียมคนชาติอื่นนั้น ถ้าพนักงานคนไหนขยันจัด บางประเทศถึงขั้นบังคับให้ไป “ใช้ชีวิต” กันเลยทีเดียว คือ ถ้าไม่ลาพักร้อน คุณก็ต้องลาพักอย่างอื่นไป เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งผู้คนไม่ค่อยจะยอมหยุดทำงานกัน จนรัฐบาลต้องประกาศให้มีวันหยุดแบบ Golden Week เรียกว่าต้องบังคับให้คนทำงานมีวันหยุดยาวๆ เพื่อไปชาร์จแบต บางประเทศถึงกับมีกฎหมายกำหนดว่าคนทำงานต้องได้วันหยุด ต้องได้ไปเที่ยว และบริษัทต้องจ่ายเงินไปเที่ยวให้พนักงานด้วยอีก 8% ของเงินเดือนทั้งปี

hill-quotesได้เวลาปรับสมดุล

     มีความเชื่อในหลายเชื้อชาติว่า คนเราจะสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ในเวลาที่จิตว่างรู้สึกผ่อนคลายเสมอ เช่น อาร์คิมิดีส (Archimedes) ที่เคยถูกกษัตริย์สั่งให้หาปริมาตรของมงกุฎทอง เพื่อพิสูจน์ว่ามีการแอบเจือแร่เงินเข้าไปขณะหล่อหรือไม่ แต่จะหลอมมงกุฎกลับเป็นก้อนแร่เพื่อหาความหนาแน่นก็ทำไม่ได้ เขาหมกหมุ่นอยู่นานแต่ก็แก้โจทย์นี้ไม่ได้สักที จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่กำลังนอนแช่น้ำอุ่นแสนสบายและสังเกตเห็นน้ำที่ล้นจากอ่าง เขาก็เกิด “ปิ๊ง” ขึ้นมาและร้องออกมาว่า “ยูเรก้า”(ฉันพบแล้ว) เพราะเขาได้ค้นพบกฎแรงลอยตัว(Buoyancy)แล้วนั่นเอง

Archimedes

     สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะทรงบรรลุธรรมในการค้นพบสัจธรรมแห่งธรรมชาติ พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยาหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ไม่สำเร็จเสียที แต่พอละทิ้งความกดดันจากการบำเพ็ญทุกรกิริยา มาฉันข้าวมธุปายาสร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่จนร่างกายและจิตใจสมบูรณ์พร้อมพระองค์จึงทรงค้นพบสัจธรรมแท้จริงของโลกได้จากสภาวะจิตและกายที่พร้อมที่สุดนั่นเอง

     จากบุคคลตัวอย่างที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าการจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชีวิตและให้สังคม จุดเริ่มต้นก็มาจากการจัดการตัวเอง จัดสมดุลของชีวิตตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง คุณก็จะมีเวลาขยับขยายไปทำอย่างอื่น ดูแลคนอื่นๆ เพิ่มคุณค่าและความสามารถของตัวเองจากการได้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าอื่นๆ แต่ทุกอย่างจะเป็นไปไม่ได้ถ้าคุณ Work – Life Balanceไม่เป็น สิ่งที่เราเห็นกันในโลกแห่งความเป็นจริงก็คือ มีคนจำนวนหนึ่ง Work Hard เพื่อที่จะได้ Balance ชีวิตตัวเองได้ ซึ่งจุดเริ่มจากการ Work Hard นี่เองที่ทำให้เขาสามารถ Work Smart  แต่คนอีกจำนวนหนึ่งเริ่มต้นจาก Work Smart นานวันเข้า Balance ชีวิตตัวเองไม่ได้ งานพอกพูน หนี้สินมากขึ้นในที่สุดก็ต้อง Work Hard

     ในกรณีเหล่านี้เราไม่ข้อสรุปตัดสินว่าใครถูกใครผิด เพราะคำว่า “สมดุล” ของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกันไป แม้แต่ที่มาของคำว่า Work -Life Balanceนั้น ในหมู่ฝรั่งที่เป็นคนให้กำเนิดคำๆนี้เอง ยังมีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแค่มายาคติก็ได้ เช่น กรณีของโจนาธาน ฟีลด์(Jonathan Fields) เจ้าของโครงการ Good Life Project ที่เขาตระเวนไปทั่วประเทศแล้วก็ถามคนที่เป็นเบอร์ 1 ของแต่ละวงการหลากหลายอาชีพว่า “ชีวิตที่ดีคืออะไร” มีผู้ตอบคำถามรายหนึ่งพูดในทำนองว่า “ชีวิตที่ดีไม่เห็นต้องเกี่ยวกับการได้เลิกงาน 5 โมงเย็นแล้วไปฟิตเนสเพื่อเล่นโยคะสักหน่อย เพราะถ้าคุณได้ทุ่มเททั้งกายทั้งใจทำในสิ่งที่คุณรัก ต่อให้มันต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะเข้านอนได้ด้วยความอิ่มเอมใจ”

     ไม่เคยมีปรากฎเลยนะว่ายอดคนของโลกได้ไอเดียเจ๋งๆ มาจากการได้พักมากๆ มีแต่พวกเขา Work Hard หนักมาก แต่ขณะที่ทำงานหนักเขาก็สนุกไปกับงานที่ทำตลอดเวลา นั่นหมายถึงว่าเวลาที่เขา Work Hard เขาก็ Work Smart ไปด้วยในเวลาเดียวกันนั่นเอง สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่คุณเลือกแล้วล่ะ