สุดบีบคั้นหัวใจและสะเทือนอารมณ์มากสำหรับฉากข่มขืนที่เป็นกระแสโด่งดังในโลกโซเชียลเมื่อ 2 – 3 วันก่อนสำหรับฉากข่มขืนในละครเรื่อง “ล่า” ที่ออกอากาศไปทางช่อง One 31 ภาพ 7 ทรชนข่มขืนสองแม่ลูกอย่างดิบเถื่อนและทารุณประดุจฝูงสัตว์รุมตะครุบเหยื่อ ที่ผู้กำกับละครเรื่องนี้สันต์ ศรีแก้วหล่อ ต้องการสะท้อนความโหดร้ายของชีวิตจริงที่ลูกผู้หญิงต้องพบเจอ รวมถึงต้องการส่งสารบอกไปถึงผู้หญิงทั้งหลายว่า “โลกใบนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด จึงต้องใช้ชีวิตในทุกๆนาทีอยู่บนความระแวดระวังตัวเอง เพราะดีชั่วหน้าตาไม่ใช่สิ่งที่จะบ่งบอกได้”

     แม้โลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ก็ตาม ความเจริญจะมากขึ้น ความสะดวกสบายจะเยอะขึ้น เพราะเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่…“สันดาน” ของมนุษย์ยังไม่เคยเจริญขึ้นหรือพัฒนาขึ้นไปตามโลกที่เจริญแล้ว ในทางกลับกันยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนแสดงธาตุแท้ความ “ต่ำตม” และ “เถื่อน” ประดุจสัตว์ป่าออกมามากยิ่งขึ้น การ “ข่มขืน” ในทุกวันนี้ยิ่งเลวร้าย ซับซ้อนและยากที่ขจัดให้หมดไปจากสังคม แถมยังเพิ่มแง่มุมที่เจ็บปวดมากขึ้นให้กับผู้ถูกกระทำมากยิ่งขึ้นด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น นี่เราเป็นผู้เจริญขึ้นจริงหรือไม่? ทำไมการข่มขืนถึงรุนแรงมากขึ้นซับซ้อนขึ้นและมีอยู่ต่อเนื่องเป็นรายวัน หรือว่า การ “ข่มขืน” เป็น “วัฒนธรรม” ของมนุษย์

เมื่อการข่มขืนกลายเป็น “วัฒนธรรม”

Rape-Culture-1     หากเราย้อนกลับไปมองกลับไปในประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆมาของโลกไม่ว่าชาติไหนดินแดนใด ก็ล้วนมีเรื่องของการ “ข่มขืน” ติดอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น นั่นเท่ากับว่าการข่มขืนมีมายาวนานมากกว่าพันหรือหมื่นปี และอาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าการ “ข่มขืน” เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่อยู่คู่กันมากับมนุษย์

     สำหรับคนไทย เมื่อเอ่ยคำว่า “วัฒนธรรม” ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะนึกถึงภาพวัดวาอาราม อาหารอร่อยที่ถูกบรรจุอยู่ในชามลายทองที่มีการบรรจงแกะสลักอย่างวิจิตร โขนละคร ฯลฯ ไปจนถึงรอยยิ้มพิมพ์ใจอันล้วนแต่เป็นเรื่องงดงาม ดีงาม แต่ถ้าการข่มขืนกลายเป็นวัฒนธรรมจนเราได้คำใหม่ออกมาว่า “วัฒนธรรมข่มขืน” ต้องบอกเลยว่าสิ่งนี้ไม่มีอะไรใกล้กับความงดงามข้างต้นเลยสักนิด

     คำว่า วัฒนธรรมข่มขืนจริงๆแล้วมีรากศัพท์มาจากตะวันตกจากคำว่า Rape Culture ซึ่งคำนี้เป็นกลุ่มคำที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1970 ที่คิดขึ้นโดยนักเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิสตรีในสหรัฐอเมริกา นักเคลื่อนไหวเหล่านั้นต้องการใช้คำๆนี้สะท้อนและบอกเล่าถึงภาพที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ที่มองว่า “การข่มขืนเป็นเรื่องธรรมดา”

Rape Culture02     ภาพการแสดงที่ออกมาจากละครเรื่อง “ล่า” ในฉากถูกข่มขืนของ 2 แม่ลูก เป็นหนึ่งเจตนาของผู้กำกับที่อยากจะให้ผู้ชมรับรู้ว่าการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง รวมถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศมันโหดร้ายสำหรับจิตใจของผู้ถูกกระทำมาก กระแสละครเรตติ้งสูงขึ้น แต่…เราลืมอะไรกันไปบ้างหรือเปล่าว่า สิ่งที่ละครสะท้อนออกมานั้น ในตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาและดูเหมือนเป็นเหตุการณ์อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปเสียแล้ว ผู้คนตื่นกระแสละครกันอยู่สักพัก และทุกอย่างก็จะถูกดูดให้เงียบหายไปอีกพักใหญ่ เราจะลืมมันไป จนกว่าจะมีเรื่องของการ “ข่มขืน” ที่สะเทือนใจผู้คนเกิดขึ้นมาอีกครั้ง มันน่าแปลกแทนที่การข่มขืนจะถูกมองว่าเป็น “ปัญหา” แต่ผู้คนจะคิดว่า “มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ” แล้วก็ลืมมันไป มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมันก็คือส่วนหนึ่งของมนุษย์ไปแล้ว ก็ขอให้โชคดีไม่เจอกับตัวเราก็เป็นพอ

ย้อนรอยคดีข่มขืน บาดแผลในใจที่กรีดลึกของผู้เป็นเหยื่อ

rape-minor     เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมาไทยรัฐออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าว หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งถูกสามีตนเองข่มขืน อ่านผ่านๆก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะเป็นสามีภรรยากันจะเรียกว่าข่มขืนได้อย่างไร แต่กฎหมายในปัจจุบันแม้กระทั่งของไทยเองก็มีระบุแล้วว่า ถ้าภรรยาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย หากผู้ชายทำลงไปก็เท่ากับว่าข่มขืน หญิงอังกฤษคนนี้เธอทะเลาะกับสามีด้วยความไม่สบายใจเธอจึงไปดื่มจนเมา และด้วยความที่เธอเมามากจึงกลับบ้านเองไม่ไหว พลเมืองดีเห็นเข้าจึงไปบอกสามีเธอให้มารับกลับ เมื่อสามีมารับภรรยาก็เห็นเธออยู่ในสภาพเมาไม่ได้สติ เขาพาเธอกลับบ้านจากนั้นก็ข่มขืนเธอ ดูเผินๆก็เหมือนไม่น่ามีปัญหา แต่เรื่องมาพลิกตรงที่ว่า เมื่อเธอคนนี้ได้สติเธอจึงมารู้ว่าเธอถูกข่มขืน แต่ที่เธอไม่รู้ก็คือ “ใครข่มขืนเธอ” เธอกลั่นใจไปสารภาพกับสามีว่าเธอถูกข่มขืน ส่วนสามีกลับนิ่งเฉยเพราะมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะเป็นสามีภรรยากัน แต่ฝ่ายหญิงนี่สิที่เกิดทุกข์ใจอย่างมากเธอจึงตัดสินใจแจ้งความ ตำรวจสืบสาวราวเรื่องไปแล้วจึงย้อนกลับมาที่ตัวสามีของเธอ เมื่อเธอรู้เธอจึงเสียใจเป็นที่สุด “คนที่เธอไว้ใจที่สุด กลับเป็นคนที่ทำกับเธอได้เจ็บช้ำที่สุดเช่นกัน” เรื่องถึงชั้นศาลและศาลก็ตัดสินใจจำคุกสามีเป็นเวลา 7 ปี

     จากข่าวดังกล่าวคุณได้รับรู้อะไรไปบ้างไหม… นี่คือความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง “ผู้ที่กระทำ” กับ “เหยื่อ” ฝ่ายชายผู้เป็นสามีคงมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของสามีภรรยา ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ถูกกระทำกลับไม่คิดเช่นนั้น ถูกกรีดเข้าไปที่ขั้วหัวใจด้วยคนที่เธอไว้ใจที่สุด นั่นก็คือ “สามี” ของเธอเอง

rape-scene-1024x683     29 พ.ย. 60 ตำรวจอิตาลีได้ช่วยหญิงสาวคนหนึ่งกับเด็กอีก 2 คนให้พ้นออกมาจาก “นรกทั้งเป็น” หญิงสาวคนนั้นถูกลักพาตัวถูกทำร้ายและ “ข่มขืน” มาต่อเนื่องยาวนานนับ 10 ปี

     นายอลอยซิโอ ฟรานเซสโก โรซาริโอ จิออร์ดาโน คือชื่อของสัตว์ร้ายตนนี้ที่ทำทารุณกรรม หญิงสาวชาวโรมาเนียคนหนึ่งมายาวนาน คลิปวิดีโอนี้คือสถานที่จริงที่จิออร์ดาโนได้ทำการกักขังและทำทารุณกรรมหญิงสาวชาวโรมาเนียคนดังกล่าว ทั้งกักขังและทารุณเธอด้วยวิธีต่างๆ และข่มขืนเธอจนเธอตั้งท้องเด็กถึง 2 คน ตอนตำรวจพบเธอสภาพเธอโทรมและย่ำแย่มาก ร่างกายสกปรกมีแต่บาดแผล แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภายนอกแผลที่ร่างกายยังพอมีโอกาสรักษาหาย แต่บาดแผลที่จิตใจของเธอนี่สิ ใครจะสามารถเยียวยาเธอได้ เพราะ 10 ปี ที่ผ่านมาถูกกรีดแบบทารุณอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน 10 ปีที่ถูกกระทำ แล้วเธอต้องใช้เวลาถึงกี่ปีในการที่จะรักษาจิตใจของตนเอง คงเป็นคำถามที่ยากเหลือเกินที่จะตอบ

     อย่าปล่อยให้กลายข่มขืนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เรามาช่วยกันรณรงค์และเตือนภัยผู้หญิงกันดีกว่า อย่าให้เรื่องเหล่านี้ถูกจุดกระแสแล้วหายไปตามลมอีกเลย การข่มขืนจะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งจริงหรือไม่ติดตามเรื่องราวกันต่อ ตอนหน้า

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : thairath,ช่อง One 31