สำนักข่าว The Economist ได้จัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ซึ่งนครเมลเบิร์นของออสเตรเลียก็ได้ครองแชมป์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลกอีกครั้งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันโดยปีนี้นครเมเบิร์น ได้คะแนนรวมสูงถึง 97.5 จาก100 คะแนน โดยการให้คะแนนพิจารณาจากหลาย ๆ ประเด็น คือ
1.อัธยาศัยและความเป็นมิตรของผู้คน ซึ่งที่เมลเบิร์น ผู้คนจะเป็นคนน่ารักมีอารมณ์และอัธยาศัยดี มีความเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยว
2.อาชญากรรมน้อย แสดงถึงความมั่นคงปลอดภัยในประเทศที่มีสูง
3.มีระบบการดูแลสุขภาพที่ดี แสดงถึงความใส่ใจต่อวิถีชีวิตของผู้คน
4.การศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของพลเมือง
ซึ่งนอกจากคะแนนในด้านต่าง ๆ แล้ว The Economist ยังมองว่า นครเมเบิร์น ยังเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลายมีความน่าสนใจ แต่ผู้คนพื้นเมืองก็ยังคงสามารถคงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมขงชาวเมืองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อาหารการกินก็มีความน่าสนใจ นอกจากนี้แล้วความทันสมันแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งแฟชั่นก็ไม่น้อยหน้า ผู้คนในเมืองเมเบิร์นสนใจในแฟชั่นที่หลากหลายสไตล์ ซึ่งเราสามารถเห็นคนแต่งตัวแนววินเทจ อินดี้ ฮิปสเตอร์ จนไปกระทั่งใส่สูทผูกไทด์แบบนักธุรกิจสุดเนี๊ยบได้ อย่างไม่ยากเย็นตามท้องถนนในเมือง นอกจากนั้นนครเมลเบิร์นยังมีการจัดเทศกาลแฟชั่นใหญ่ในทุกๆปี อย่างเช่น Melbourne Fashion Festival และ Spring Fashion Week เป็นต้น อีกทั้งในเรื่องของการเดินทางการคมนาคมก็มีความคล่องตัวอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม และ ยังมีโอกาสพัฒนาเพิ่มเติมมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้นอกจากเมลเบิร์นแล้ว ออสเตรเลียยังมีเมืองอื่น ๆ ที่ติดอันดับ Top 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกของ The Economist อีก 2 เมือง แอดิเลด (Adelaide)และ เมืองเพิร์ธ ส่วนเมืองที่น่าอยู่น้อยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับครั้งนี้ เป็นของกรุงเคียฟในยูเครน
เมื่อเทียบแล้วแม้ว่าเมืองไทยของเราจะไม่ได้น้อยหน้าใครเขาเช่นกันในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหารการกินและผู้คน แต่ปัญหาหลาย ๆ อย่างทั้งเรื่องการจราจร ปัญหาอาชญากรรม การคมนาคมขนส่งที่ยังไร้คุณภาพ อีกทั้งระบบการเมืองการปกครองก็ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก จึงทำให้เราไม่สามารถตามเทรนด์ประเทศที่เจริญแล้วได้ทัน ในฐานะคนไทยคนหนึ่งเราก็หวังว่า เมืองไทยของเราน่าจะติดอันดับโลกเมืองน่าอยู่(ที่ไม่ใช่แค่เมืองน่าเที่ยว)กับเขาบ้างในอนาคต