ต่อสู้ยื้อชีวิตเพื่อต่อลมหายใจสุดท้ายกันมากพักใหญ่ๆ สำหรับโรงภาพยนตร์ในตำนานอย่าง ‘ลิโด้’ ที่ตอนนี้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะขอปิดม่านอำลาในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งนี่คือ ฉากสุดท้ายของโอเอซิสแห่งคนรักหนัง
หัวใจแห่งสยามสแควร์
โรงภาพยนตร์ลิโด้หรือโรงหนังลิโด้นั้น เปิดทำการฉายหนังมากร่วม 50 ปี คงมีหลายๆคนในปัจจุบันนี้ที่คงจะมีครอบครัวเป็นคุณพ่อคุณแม่ไปแล้ว เคยมาชมภาพยนตร์ในโรงหนังแห่งนี้สมัยยังเป็นวัยรุ่นหรือเพิ่งจีบกันใหม่ๆ แม้กระทั่งหนุ่มสาวบางคนในปัจจุบันที่เคยเข้าไปดูหนังในลิโด้ก็อาจจะมีความรู้สึกว่าโรงหนังแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว หลายคนก็อาจผูกพันและหวงแหน ไม่อยากให้ลิโด้ปิดตัวลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง การห้ามความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ นี่จึงเป็นหัวใจอีกหนึ่งดวงของบริเวณ ‘สยามสแควร์’ ที่กำลังจะถูกพรากไปด้วยกาลเวลา
บริเวณ ‘สยามสแควร์’ นั้น เคยมีโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ แวดล้อมอยู่ 3 โรงด้วยกัน คือ โรงภาพยนตร์สยาม ลิโด้ และก็สกาล่า โรงภาพยนตร์สยามนั้นต้องปิดตัวไปก่อนในปี 2553 เพราะเหตุไฟไหม้ และถัดมา 31 พฤษภาคมนี้ โรงภาพยนตร์ลิโด้ก็กำลังจะปิดตัวลงตามกันไป คงเหลือไว้แต่น้องเล็กอย่างโรงภาพยนตร์สกาล่า ที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมที่แน่ชัดว่าจะอยู่หรือจะไปเมื่อไหร่
ลิโด้ โอเอซิสแห่งคนรักหนัง
โรงภาพยนตร์สยาม ลิโด้ และสกาล่า แท้จริงแล้วเป็นมากกว่าโรงภาพยนตร์ เพราะหากจะดูกันตามจริง โรงหนังเก่าแก่เหล่านี้มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์และความทรงจำของผู้คน เป็นจุดเริ่มต้นของความเจริญในย่านสยามสแควร์ โรงหนังสยามต้องปิดตัวด้วยเหตุสุดวิสัย แต่สำหรับลิโด้นั้น จำเป็นต้องปิดตัวด้วยสภาพบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป ลิโด้มีความเป็นเอกลักษณ์ให้คนจดจำได้ก็เพราะการ ‘คิดต่าง’ หนังที่ฉายในลิโด้นั้นส่วนใหญ่เป็นหนังนอกกระแส หรือที่บางคนเรียกว่าหนังอาร์ต ซึ่งนับเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่เป็นคนรักหนังได้มีโอกาสได้ดูหนังนอกกระแสดีๆและมีความแตกต่างจากหนังที่มีอยู่ในตลาด แต่ใช่ว่าลิโด้จะฉายแต่หนังนอกกระแสอย่างเดียว หนังในตลาดลิโด้ก็เอามาฉายสลับสับเปลี่ยนกันอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ว่าพวกเขาพร้อมจะเปิดพื้นที่ให้กับคน ‘รักหนัง’ ทั้งรักการทำหนัง และรักการดูหนัง วงการภาพยนตร์มีคนทำหนังเก่งๆเกิดขึ้นเยอะมาก แต่บางทีหนังนอกกระแสไม่ใช่แนวตลาด เอาไปเสนอโรงใหญ่ๆก็ไม่มีใครยอมที่จะให้ออกฉาย แต่ลิโด้พร้อมเปิดใจยอมรับ ผู้บริโภคที่ชอบดูหนังก็มีโอกาสได้เสพผลงานใหม่ๆแห่งโลกภาพยนตร์มากขึ้น หรือหนังบางเรื่องหน้าหนังฟอร์มดีแต่เอาเข้าจริงไปฉายในโรงใหญ่กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องรอบฉายต้องลดลงและออกจากโรงเร็วกว่ากำหนด สำหรับลิโด้ยังรับหนังเหล่านั้นไว้ให้โอกาสคนอีกหลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนั้นๆ อีกทั้งยังเป็นการช่วยคนทำหนังให้ได้เงินเพิ่มไปอีกนิดด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นความคลาสสิกและคุณูปการของลิโด้ ที่เปรียบเสมือนโอเอซิสในทะเลทราย โลกแวดล้อมด้วยภาพยนตร์ในกระแสมากมาย และโรงหนังใหญ่ก็เปิดรับแต่หนังเหล่านั้น ลิโด้จึงขอเป็นเพียงต้นไม้และแหล่งน้ำเล็กๆที่จะหล่อเลี้ยงโลกภาพยนตร์ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนแรงแห่งการแข่งขัน จึงเรียกได้ว่า ลิโด้เปรียบเสมือนโอเอซิสแห่งคนรักหนังจริงๆ
ก่อนวันอำลา
ในเดือนพฤษภาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของการเปิดฉายภาพยนตร์ของลิโด้นี้ บรรยากาศไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่เราคิด ตรงกันข้ามกับคึกคักมากขึ้น เพราะแฟนๆต่างรู้สึกอยากกลับมารำลึกและอำลาความยิ่งใหญ่อันเป็นตำนานนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้จากประเด็นการปิดม่านอำลาของลิโด้นี้ก็คือ การปรับตัวทางธุรกิจ ถ้าใครเคยไปดูภาพยนตร์ในโรงหนังลิโด้เมื่อไม่นานมานี้ก็ยังคงจะเห็นภาพเดิมๆคือ ผู้บริหารเดิมๆ พนักงานเก็บตั๋วก็คนเดิมๆ ซึ่งก็ดูมีอายุแล้วทั้งนั้น ไม่มีคนรุ่นใหม่มาทำกันเลย อีกทั้งการฉายหนังนอกกระแส ก็เลยทำให้แพ้แรงโปรโมตจากหนังทุนสูง จริงอยู่ว่าตลาดต้องการสิ่งที่แตกต่าง แต่ถึงอย่างไรแล้ว ‘ทุน’ ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญของการทำธุรกิจอยู่ดี ก่อนวันที่ม่านของลิโด้จะปิดลงสิ้นเดือนนี้ เราจึงอยากขอเรียนเชิญคนที่เคยมีความผูกพันกับโรงภาพยนตร์ลิโด้ไปรำลึกความทรงจำดีๆกันสักหน่อย เก็บสิ่งดีๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนกาลเวลาจะมาพรากไป