โรคจอตาบวมน้ำ รู้จักกับโรคตาที่ไม่ใช่เชื้อโรค
เรามีความยินดีที่จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโรคจอตาบวมน้ำให้ท่านทราบในบทความนี้ เราจะรายงานเกี่ยวกับสาเหตุของโรค อาการที่เกิดขึ้น และแนวทางการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่คุณสามารถใช้ในการดูแลสุขภาพตาของคุณและครอบครัวได้
โรคจอตาบวมน้ำคืออะไร
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัชวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมการแพทย์ได้กล่าวว่า โรคจอตาบวมน้ำเป็นโรคตาที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อโรค แต่อาจเกิดขึ้นได้จากภาวะผิดปกติของร่างกาย เราพบว่าโรคนี้มักพบในผู้ที่มีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 25-55 ปี โดยเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักพบในกลุ่มผู้ที่มีบุคลิกภาพจริงจังกับชีวิตและเครียดง่าย (Type A personality) โดยมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น การใช้ยารักษาโรคบางชนิด โดยเฉพาะยากลุ่มสเตอรอยด์
สาเหตุของโรคจอตาบวมน้ำ
นายแพทย์อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) อภิชัย สิรกุลจิรา ระบุว่า โรคจอตาบวมน้ำมาจากการทำงานผิดปกติของเซลล์ในจอประสาทตาทำให้มีการรั่วของสารน้ำเข้ามาในชั้นใต้ต่อจอตา จึงเกิดการบวมน้ำขึ้น ส่วนหนึ่งของสาเหตุมาจากภาวะความเครียด และกลุ่มผู้มีบุคลิกภาพจริงจังกับชีวิตค่อนข้างเครียด โดยนอกจากความเครียดแล้ว ยาบางชนิดเช่น ยารักษาผู้ป่วยทางจิตเวช ยาสเตอรอยด์ สามารถเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคจอตาบวมน้ำ
อาการของโรคจอตาบวมน้ำ
นายแพทย์เอกชัย อารยางกูร รองผู้อำนวยการด้านจักษุวิทยา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) รายงานว่า ผู้ที่เป็นโรคจอตาบวมน้ำมักจะมีอาการดังนี้:
- มองเห็นวงดำบริเวณกลางตาเวลามอง หรืออ่านหนังสือ
- บางรายอาจมองเห็นเป็นภาพเบี้ยว
วิธีรักษาโรคจอตาบวมน้ำ
แนวทางการรักษาโรคจอตาบวมน้ำรวมถึงการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
- การใช้ยาสเตอรอยด์
- พยายามลดหลีกเลี่ยงความเครียด
- ในกรณีที่ผู้ป่วยบางรายที่มีพฤติการณ์สูบบุหรี่ควรพยายามลดการสูบบุหรี่
สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ 80-90% สามารถกลับมามองเห็นได้ปกติภายใต้การดูแลรักษาของจักษุแพทย์ การตรวจเช็คสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้สถานะของโรคจอตาบวมน้ำและรับการรักษาที่เหมาะสมทันที
สรุป
โรคจอตาบวมน้ำเป็นโรคตาที่ไม่มีสาเหตุจากเชื้อโรค แต่มักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีความเครียด หรือใช้ยาบางชนิด เราขอเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาในบทความนี้ เพื่อให้คุณมีความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้ และสามารถดูแลสุขภาพตาของคุณได้อย่างเหมาะสม หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม โปรดรีบพบแพทย์สายตาเพื่อขอคำปรึกษาและการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อสถานะของคุณ
ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทางการแพทย์เท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ข้อมูลในบทความอาจมีการอัพเดตหรือเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าในการวิจัยและการแพทย์ล่าสุด