โรคปวดศีรษะหรือปวดหัวมีอยู่มากมายหลายประเภท ที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีระดับความรุนแรงค่อนข้างสูง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากคือ “โรคปวดศีรษะไมเกรน” ซึ่งมีสาเหตุจากความผิดปกติของระบบปรับความรู้สึกปวดในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองส่วน hypothalamus และ brain stem ทำให้สมองมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โดยพบความชุกได้มากถึงร้อยละ 15 ของประชากรทั่วโลก และเป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว ไมเกรนนับว่าเป็นโรคยอดฮิตของคนในวัยทำงาน ระยะหลังๆมาหนุ่มสาวในวัยเรียนก็เริ่มเป็นกันมากขึ้น แต่อาการปวดหัวหรือปวดศีรษะที่คุณเป็นกันนั้นจะใช่ไมเกรนจริงๆหรือเปล่านะ ครั้งนี้เราได้รับเกียรติจากนพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลกรุงเทพฯ มาให้คำตอบในเรื่องนี้กับเราทุกคน

รู้อย่างไรว่าเป็นไมเกรน

อาการปวดที่ศีรษะที่พบบ่อยที่สุดเป็นโรคปวดจากกล้ามเนื้อตึงตัว ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตื้อๆ ไม่รุนแรง แต่อาการปวดศีรษะจากไมเกรนส่วนใหญ่จะให้คะแนนความปวดตั้งแต่ 6 – 7 คะแนนขึ้นไป ในรายที่เป็นมากจะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต้องขาดเรียน ขาดงาน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

อาการปวดศีรษะจากไมเกรนจะเป็นๆหายๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มากระตุ้น ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรืออาจปวดทั้งสองข้างก็ได้ ลักษณะอาการปวดจะปวดตุ๊บๆ เหมือนเส้นเลือดเต้น หากไม่ได้รักษาอาการปวดจะเป็นอยู่ได้นานประมาณ 4 ชั่วโมงถึง 3 วัน ระหว่างนั้นอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นบางอย่าง เช่นกลิ่นธูป กลิ่นควัน และกลิ่นน้ำหอม เป็นต้น

โรคปวดศีรษะไมเกรนพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 – 3 เท่า ในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงวัยอาจมีอาการแสดงที่ต่างออกไป อาการที่พบได้ในเด็กเล็กคือ คลื่นไส้อาเจียนติดต่อกันเป็นๆหายๆ อย่างน้อย 4 ครั้ง ต่อชั่วโมง อาจเป็นติดต่อกันได้ 1 – 10 วัน หลังจากหายจากอาการคลื่นไส้อาเจียนแล้ว เด็กจะกลับมาเป็นปกติทุกอย่างเมื่อโตขึ้นอาการคลื่นไส้อาเจียนจะค่อยๆลดลง เปลี่ยนเป็นอาการปวดศีรษะชัดเจนขึ้น

ในกลุ่มผู้สูงอายุบางรายอาการปวดศีรษะดีขึ้น แต่จะมีอาการเวียนศีรษะเข้ามาแทน ซึ่งคนทั่วไปมักมองว่าเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และไม่ได้คิดถึงไมเกรน ทำให้หลงทางในการรักษา การจะวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนหรือไม่ จึงต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด เช่น ซักถามย้อนไปถึงวัยหนุ่มสาวว่าเคยมีอาการปวดศีรษะมาก่อนหรือไม่ หรือ เคยเป็นไมเกรนมาก่อนหรือเปล่า ร่วมกับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยแยกโรค

วิธีคัดกรองโรคปวดศีรษะจากไมเกรน ในเบื้องต้นจะพิจารณาจากอาการที่เป็นลักษณะเด่นที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ อาการร่วมดังกล่าวใช้ตัวย่อว่า “PIN” คือ

  • Photophobia คือ อาการไวต่อแสง ไม่อยากเห็นแสง แสงจะทำให้ปวดศีรษะมากขึ้นเนื่องจากขณะปวดศีรษะสมองส่วนหลังจะไวต่อการกระตุ้นด้วยแสง
  • Impairment คือ อาการรุนแรงจนต้องหยุดพัก ไม่สามารถทำงานหรือกิจกรรมอื่นๆได้
  • Nausea คือ อาการคลื่นไส้ บางรายเป็นรุนแรง อาจมีอาเจียนได้

หากผู้ป่วยมีอาการ 2 ใน 3 ข้อนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะจากไมเกรน

ไมเกรน ไม่ใช่แค่เรื่องปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะจากไมเกรนไม่ได้มีเฉพาะอาการปวดศีรษะหรือคลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น แต่ยังมีอาการนำและอาการที่เกิดตามมาหลังจากอาการปวดศีรษะดีขึ้นแล้วอีกด้วย โดยเราสามารถแบ่งช่วงอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เป็น 4 ระยะ คือ

  1. ระยะอาการนำ อาจเกิดขึ้นก่อนอาการปวดศีรษะได้นานถึง 48 ชั่วโมง อาการที่พบ เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด ไม่อยากพูดคุยกับใคร อารมณ์แปรปรวน อยากของหวาน ที่พบบ่อยคือมีอาการตึงๆ บริเวณต้นคอ
  2. ระยะอาการเตือน ประมาณ 25 % ของผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการเตือน เรียกว่า ออร่า(Aura) โดยมักพบอาการด้านการมองเห็นมากที่สุด เช่น เห็นแสงวิบวับหรือเส้นซิกแซ็ก เห็นภาพเบลอ หรือเห็นภาพมืดไปอย่างช้าๆ บางคนมีอาการชาโดยอาการจะค่อยๆไล่ขึ้นมาตั้งแต่ปลายมือ แขน รอบปากและลิ้น นอกจากนี้ยังอาจพบอาการผิดปกติทางการพูดได้เช่นกัน เช่นพูดไม่ออก พูดสลับคำอย่างเช่นพูดว่า “ไปกินข้าว” ก็อาจพูดสลับเป็น “ข้าวไปกิน” เป็นต้น อาการเหล่านี้จะเกิดอย่างช้า ในเวลามากกว่า 5 นาที จากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะตามมา อาการเตือนมักหายไปภายใน 1 ชั่วโมง
  3. ระยะปวดศีรษะ ในช่วงแรกนั้นอาจปวดไม่มาก แต่ต่อมาอาการปวดจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตามมา มีอาการไวต่อแสง เสียงและกลิ่น
  4. ระยะหลังจากอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นไปแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกมึนๆคิดอะไรไม่ออกไปอีกประมาณ 2 – 3 วันเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่าอาการปวดศีรษะจากไมเกรนนั้น ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก การเกิดอาการในแต่ละครั้งอาจกินระยะเวลานานหลายวัน จึงอยากให้คนรอบข้างได้รับรู้และเข้าใจถึงสภาวะของโรคว่ามีความรุนแรงจริง และผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องหยุดพัก

สำหรับการรักษาในกรณีที่อาการปวดไม่รุนแรงและเป็นไม่บ่อย(ประมาณ 1 – 2 ครั้ง/เดือน) แนะนำให้รับประทานยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือสอบถามวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องจากเภสัชกรประจำร้านยา ส่วนวิธีการรักษาอื่นๆได้แก่ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ปวดศีรษะ เช่นแสงแดด การอดนอน การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้น และให้ลองออกกำลังกายแบบแอโรบิค การเล่นโยคะ ก็สามารถที่จะช่วยลดอาการได้มาก แต่ถ้าอาการปวดยังไม่ดีขึ้น หรือเป็นถี่ขั้น แนะนำว่าควรไปพบแพทย์จะเป็นการดีที่สุด