โดยปกติแล้วการลงทุนนั้นมีด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆคือการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน(Fanancial Assets) เช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตร หุ้น กองทุนรวมประเภทต่างๆ ตราสารอนุพันธ์ ฯลฯ กับอีกประเภทหนึ่งคือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้(Real Assets) เช่นทองคำ เครื่องประดับ พระเครื่องงานศิลปะ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์บ้านและที่ดิน ส่วนผลตอบแทนของการลงทุนก็จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ

1.ผลตอบแทนที่อยู่ในรูป Capital Gain

     เป็นมูลค่าเพิ่มจากทุนหรือสินทรัพย์ที่นำไปลงทุน เช่น มูลค่าเพิ่มของทองคำ หรือราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น

2.ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของ Cash Flow

     เป็นรายได้ที่ไหลมาทุกเดือนหรือปี เช่นดอกเบี้ย หรือเงินปันผล

     การลงทุนในอสังหาริทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินนั้นต่างจากการลงทุนแบบอื่นตรงที่เราสามารถได้รับผลตอบแทนทั้งสองแบบ คือ ได้ทั้ง Capital Gain(การปรับตัวสูงขึ้นของราคาบ้าน) และ Cash Flow (ค่าเช่า) จึงทำให้การลงทุนในบ้านและที่ดินได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย

condominium-2811643_640     เราลองมาดูหลักการลงทุนอสังหาง่ายๆ กันดีกว่า สมมติเราจะซื้อคอนโด 1 ห้อง โดยที่ราคาซื้อขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 20,000 บาท/ตารางเมตร แต่ถ้าเราสามารถหาคอนโดที่สภาพดี และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่มีราคาเพียง 15,000 บาท/ตารางเมตร นั่นก็เท่ากับว่าจะได้รับส่วนต่าง 5,000 บาท/ตารางเมตร

     ถ้าคอนโดที่เราจะซื้อมีเนื้อที่ 30 ตารางเมตร นั่นก็เท่ากับว่าเราจะซื้อห้องนี้ด้วยราคาที่ประหยัดไปถึง 150,000 บาท (30 ตรม. x 5,000บาท = 150,000 บาท) เรียกได้ว่ากำไรตั้งแต่ยังไม่ได้ทำเลย แถมได้ค่าเช่ารายเดือนกับราคาขายต่อที่สูงขึ้นอีกด้วย

     มีตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงที่เราอยากเล่าให้ฟัง ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ.2540 มีผู้หญิงคนหนึ่งเลือกลงทุนอสังหาโดยซื้อคอนโดย่านหลังสวนมาในราคา 7 หมื่นบาท/ตารางเมตร ซึ่งถือว่าถูกมาก จากนั้นก็เอาไปปล่อยเช่า ไม่นานก็มีคนมาเช่า คนเก่าออก คนใหม่ก็มาเช่าต่อไม่เคยว่างเลย จนทำให้เธอก็อดรู้สึกแปลกใจว่าทำไมการลงทุนอสังหาของเธอประสบความสำเร็จขนาดนี้คือปล่อยเช่าได้ไวมาก เธอจึงเริ่มเอะใจว่า การลงทุนอสังหาครั้งนี้ของเธอมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เธอจึงลองกลับไปทบทวนสิ่งต่างๆใหม่ คำนวณการลงทุนอสังหาของเธอดูใหม่อีกครั้ง เธอจึงรู้ว่าตัวเองตั้งราคาค่าเช่าคอนโดน้อยกว่าราคาจริงพอสมควร เพราะปัจจุบันคอนโดย่านนั้นตารางเมตรละ 2 แสนเข้าไปแล้ว เมื่อหมดสัญญาก็เลยต้องทำการเปลี่ยนแปลงราคากันใหม่ แต่ก็ถือว่ามีกำไรจากการโตของมูลค่าคอนโดอยู่ดี

     เห็นไหมว่าถ้ารู้หลักการแล้วหาจังหวะดีๆในการซื้อคอนโดหรือบ้าน รับรองว่ามีแต่กำไรทั้งขึ้นทั้งล่องแน่นอน