เว็บไซต์อันตรายที่ตำรวจไซเบอร์เตือนว่าอย่ากดเด็ดขาด!
ในปัจจุบัน การใช้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์ การซื้อขายสินค้า หรือการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ในขณะที่โลกดิจิทัลมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ ก็มีภัยคุกคามทางไซเบอร์แฝงตัวอยู่มากมาย โดยเฉพาะ เว็บไซต์อันตรายที่ตำรวจไซเบอร์ออกมาเตือนว่า “ห้ามกดเด็ดขาด!”
เว็บไซต์เหล่านี้อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่แท้จริงแล้วมันถูกออกแบบมาเพื่อหลอกลวง ขโมยข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่แพร่มัลแวร์ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้ หากเผลอเข้าไป อาจทำให้ตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรมทางออนไลน์ หรือได้รับความเสียหายทางการเงินโดยไม่รู้ตัว ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของเว็บไซต์อันตราย วิธีสังเกต และแนวทางป้องกันตัวเอง เพื่อให้คุณสามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย
1. รู้จักกับเว็บไซต์อันตรายที่ตำรวจไซเบอร์เตือน
ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย เว็บไซต์อันตรายก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ ตำรวจไซเบอร์จากหลายประเทศได้ออกมาเตือนถึงภัยที่มาจากเว็บไซต์เหล่านี้ ซึ่งมักมีเป้าหมายเพื่อหลอกลวง ขโมยข้อมูล หรือแม้แต่แพร่มัลแวร์ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้
เว็บไซต์เหล่านี้มักถูกออกแบบให้ดูน่าเชื่อถือ หรือปลอมแปลงเป็นเว็บไซต์ที่เราคุ้นเคย เช่น เว็บธนาคารปลอม, เว็บไซต์แจกของฟรี, หรือหน้าเข้าสู่ระบบที่คล้ายกับแพลตฟอร์มชื่อดัง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เหยื่อตกหลุมพราง
2. ประเภทของเว็บไซต์อันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง
2.1 เว็บไซต์ฟิชชิ่ง (Phishing Sites)
เว็บไซต์ฟิชชิ่งคืออะไร?
เว็บไซต์ฟิชชิ่ง (Phishing Sites) เป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พบมากที่สุด โดยเป็น เว็บไซต์ปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบเว็บไซต์จริง เช่น เว็บไซต์ธนาคาร, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, อีเมลเซอร์วิส, หรือบริการโซเชียลมีเดีย เป้าหมายของเว็บไซต์ฟิชชิ่งคือ การหลอกล่อให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลสำคัญ เช่น
✔ ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
✔ เลขบัตรเครดิตและ CVV
✔ ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ หรือหมายเลขโทรศัพท์
มิจฉาชีพมักใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้เหยื่อรู้สึกว่ากำลังเข้าสู่เว็บไซต์ที่ถูกต้องและปลอดภัย แต่เมื่อกรอกข้อมูลลงไป ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังแฮกเกอร์ทันที
ลักษณะของเว็บไซต์ฟิชชิ่งที่ควรระวัง
เว็บไซต์ฟิชชิ่งมักมีรูปแบบและเทคนิคที่แนบเนียนเพื่อให้ดูเหมือนเว็บไซต์จริงมากที่สุด เราสามารถสังเกตลักษณะของเว็บไซต์ฟิชชิ่งได้จากจุดต่อไปนี้
1️⃣ URL ปลอมที่คล้ายกับเว็บจริง
✅ เว็บไซต์ฟิชชิ่งมักใช้ URL ที่คล้ายคลึงกับเว็บไซต์จริง แต่เปลี่ยนอักขระบางตัวเพื่อหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจผิด เช่น:
paypa1.com
แทนpaypal.com
bank-secure-login.com
แทนbank.com
amaz0n-support.com
แทนamazon.com
✅ อาจใช้โดเมนที่คล้ายกัน เช่น .net
, .info
หรือ .xyz
แทน .com
2️⃣ หน้าเว็บเหมือนจริง แต่มีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ
✅ ดีไซน์หน้าเว็บถูกคัดลอกมาให้เหมือนต้นฉบับ แต่หากสังเกตดี ๆ อาจพบว่ามี โลโก้เบลอ สีไม่ตรง หรือปุ่มใช้งานผิดปกติ
✅ ใช้ คำผิดไวยากรณ์ หรือข้อความที่ดูแปลก เช่น “บัญชีของคุณถูกบล็อก กรุณาเข้าสู่ระบบทันที!”
3️⃣ มีข้อความแจ้งเตือนเร่งด่วน
✅ ฟิชชิ่งมักใช้ ข้อความที่สร้างความตื่นตระหนก เช่น
- “บัญชีของคุณกำลังจะถูกระงับ!”
- “กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อยืนยันตัวตนภายใน 24 ชั่วโมง!”
- “คุณได้รับเงินรางวัล! กรอกข้อมูลเพื่อรับรางวัลเดี๋ยวนี้!”
✅ เว็บไซต์ฟิชชิ่งมักบีบให้เหยื่อตัดสินใจเร็ว ทำให้ไม่มีเวลาตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์
4️⃣ ไม่มีการเข้ารหัส (HTTPS ไม่ปลอดภัย)
✅ เว็บไซต์ฟิชชิ่งหลายแห่งไม่มีการเข้ารหัส SSL/TLS หรือมี เครื่องหมายล็อกไม่ปลอดภัยในแถบ URL
✅ เว็บจริงควรขึ้นต้นด้วย “https://” และมีไอคอนแม่กุญแจ แต่เว็บปลอมอาจไม่มี หรือเป็น “http://”
ตัวอย่างเทคนิคฟิชชิ่งที่พบได้บ่อย
✅ ฟิชชิ่งผ่านอีเมล (Email Phishing)
อีเมลปลอมจากธนาคารหรือแพลตฟอร์มชื่อดัง ส่งลิงก์ไปยังเว็บไซต์ฟิชชิ่งเพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูล
✅ ฟิชชิ่งผ่าน SMS (Smishing – SMS Phishing)
ข้อความ SMS ปลอมแจ้งว่า “บัญชีของคุณมีปัญหา คลิกลิงก์นี้เพื่อตรวจสอบ”
✅ ฟิชชิ่งผ่านโฆษณาออนไลน์ (Ad Phishing)
แฮกเกอร์อาจสร้างโฆษณาปลอมที่ปรากฏบน Google หรือ Facebook โดยมีข้อความล่อให้คลิก เช่น “ลดราคาพิเศษ! ซื้อ iPhone 15 Pro เพียง 9,990 บาท”
✅ ฟิชชิ่งผ่าน QR Code
บางกรณี มิจฉาชีพอาจแปะ QR Code ปลอมในที่สาธารณะ เช่น ป้ายโปรโมชั่น หรือลิงก์ลงทะเบียน โดยพาผู้ใช้ไปยังเว็บฟิชชิ่ง
วิธีป้องกันตัวเองจากเว็บไซต์ฟิชชิ่ง
✅ ตรวจสอบ URL ก่อนคลิกเสมอ
หากได้รับลิงก์จากอีเมลหรือ SMS อย่ารีบคลิกทันที ให้ลองพิมพ์ที่อยู่เว็บไซต์ด้วยตัวเอง หรือใช้ Google Search เพื่อเข้าถึงเว็บจริง
✅ อย่าให้ข้อมูลสำคัญผ่านลิงก์ที่ได้รับทางอีเมลหรือข้อความ
หากธนาคารหรือบริษัทใดต้องการให้คุณอัปเดตข้อมูล ควรโทรสอบถามโดยตรงแทนที่จะกรอกข้อมูลผ่านลิงก์ที่ได้รับ
✅ ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA)
หากมีการเปิดใช้งาน 2FA (Two-Factor Authentication) แม้แฮกเกอร์ได้รหัสผ่าน ก็ยังไม่สามารถเข้าสู่บัญชีของคุณได้
✅ ติดตั้งโปรแกรมป้องกันฟิชชิ่ง
เบราว์เซอร์อย่าง Google Chrome, Firefox และ Microsoft Edge มี ฟีเจอร์แจ้งเตือนเว็บไซต์ฟิชชิ่ง และสามารถบล็อกเว็บที่น่าสงสัยได้
✅ สังเกต HTTPS และไอคอนแม่กุญแจ
หากเว็บไซต์ไม่มี “https://” หรือไม่มีไอคอนแม่กุญแจในแถบ URL ควรหลีกเลี่ยง
✅ หากสงสัยว่าเป็นเว็บฟิชชิ่ง ให้รายงาน
หากพบเว็บไซต์ฟิชชิ่ง สามารถรายงานไปยังหน่วยงานไซเบอร์ของประเทศคุณ เช่น
- Google Safe Browsing (safebrowsing.google.com)
- ตำรวจไซเบอร์ในประเทศของคุณ
2.2 เว็บไซต์แจกของฟรี แต่แฝงมัลแวร์
เว็บไซต์แจกของฟรีคืออะไร?
เว็บไซต์ประเภทนี้มักอ้างว่าให้ผู้ใช้ ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน เกม เพลง หรือไฟล์พิเศษโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งดึงดูดผู้ใช้ที่ต้องการของฟรีหรือไม่ต้องการจ่ายเงินซื้อเวอร์ชันลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของเว็บไซต์เหล่านี้อาจเต็มไปด้วยมัลแวร์ที่แฝงตัวอยู่ เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์ อุปกรณ์ของพวกเขาอาจติดไวรัส หรือข้อมูลอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว
ประเภทของมัลแวร์ที่แฝงมากับเว็บไซต์แจกของฟรี
มัลแวร์ที่มักพบในเว็บไซต์เหล่านี้มีหลายรูปแบบ เช่น
✅ ไวรัส (Viruses) – ไฟล์ที่เมื่อเปิดใช้งานจะเริ่มแพร่กระจายไปยังไฟล์อื่น ๆ และทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เสียหาย
✅ โทรจัน (Trojans) – ซอฟต์แวร์ปลอมที่ดูเหมือนมีประโยชน์แต่มีโค้ดอันตรายแอบแฝง เช่น โปรแกรมที่อ้างว่าเป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือขโมยข้อมูล
✅ แรนซัมแวร์ (Ransomware) – มัลแวร์ที่ล็อกไฟล์ทั้งหมดในอุปกรณ์และเรียกค่าไถ่จากผู้ใช้เพื่อปลดล็อกข้อมูล
✅ สปายแวร์ (Spyware) – ซอฟต์แวร์ที่แอบบันทึกการทำงานของผู้ใช้ เช่น การกดแป้นพิมพ์เพื่อขโมยรหัสผ่าน
✅ แอดแวร์ (Adware) – ซอฟต์แวร์ที่แสดงโฆษณารบกวนบนอุปกรณ์ของผู้ใช้ และอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์เพิ่มเติม
✅ Cryptojacking Malware – มัลแวร์ที่แอบใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์เพื่อขุดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีโดยไม่รู้ตัว
ลักษณะของเว็บไซต์แจกของฟรีที่อันตราย
เว็บไซต์ประเภทนี้มักมีลักษณะดังต่อไปนี้:
1️⃣ อ้างว่ามีไฟล์ให้ดาวน์โหลดฟรีแบบเกินจริง
- อ้างว่าแจก เกมแบบเสียเงินให้ดาวน์โหลดฟรี
- มี เวอร์ชันพรีเมียมของโปรแกรมยอดนิยม เช่น Photoshop หรือ Microsoft Office ให้ดาวน์โหลดฟรี
- มี แอปพลิเคชันที่ไม่พบใน App Store หรือ Google Play
2️⃣ ใช้ป๊อปอัปแจ้งเตือนหลอกลวง
- แจ้งเตือนว่า “คอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัส! ดาวน์โหลดโปรแกรมนี้เพื่อแก้ไข”
- มีข้อความลวงเช่น “คุณได้รับรางวัล! กดเพื่อรับเลย”
- มีป๊อปอัปที่เด้งขึ้นมาโดยไม่สามารถปิดได้
3️⃣ ต้องดาวน์โหลดไฟล์ที่มีนามสกุลน่าสงสัย
- ไฟล์ติดตั้งที่ไม่คุ้นเคย เช่น .exe, .apk, .bat, .zip, .rar
- ไฟล์ที่มีชื่อแปลก ๆ หรือดูไม่เหมือนซอฟต์แวร์จริง เช่น “Game-Free-Download_2025.exe”
4️⃣ ต้องปิดระบบป้องกันก่อนติดตั้ง
- เว็บไซต์บางแห่งแจ้งให้ ปิดแอนตี้ไวรัส ก่อนดาวน์โหลดไฟล์
- ขอสิทธิ์ Administrator บนอุปกรณ์โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
5️⃣ มีโฆษณาแปลก ๆ และลิงก์เปลี่ยนเส้นทาง
- กดลิงก์แล้วถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บอื่นหลายครั้ง
- มีโฆษณาที่มีเนื้อหาล่อแหลม เช่น “วิธีหาเงินง่าย ๆ ได้เป็นล้าน”
ตัวอย่างเว็บไซต์แจกของฟรีที่ควรระวัง
📌 เว็บไซต์แจกเกมเถื่อน – หลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์เกม แต่จริง ๆ แล้วเป็นมัลแวร์
📌 เว็บไซต์แจกโปรแกรมพรีเมียมฟรี – เช่น แจก Photoshop, Windows 11 แบบเถื่อน มักแฝงมัลแวร์
📌 เว็บไซต์ดาวน์โหลดไฟล์เพลงหรือภาพยนตร์ฟรี – อาจแอบใส่ไวรัสหรือแรนซัมแวร์
📌 เว็บไซต์แจกแอปพลิเคชันสำหรับมือถือ (ไฟล์ APK) – อาจแอบแฝงสปายแวร์เพื่อขโมยข้อมูล
📌 เว็บไซต์แจกของรางวัลปลอม – เช่น อ้างว่าแจก iPhone, เงิน หรือบัตรกำนัล แต่ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อน
วิธีป้องกันตัวเองจากเว็บไซต์แจกของฟรีที่แฝงมัลแวร์
✅ ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
เช่น App Store, Google Play, Microsoft Store, Steam, Epic Games
✅ อย่ากดป๊อปอัปหรือโฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือ
หากเจอข้อความเช่น “คุณได้รับรางวัล!” หรือ “อุปกรณ์ของคุณติดไวรัส” ให้ปิดหน้าเว็บทันที
✅ ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์ให้แน่ใจ
หากเว็บไซต์ไม่มี HTTPS หรือใช้โดเมนแปลก ๆ เช่น .xyz
, .tk
, .download
อาจเป็นเว็บอันตราย
✅ ใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสและเปิดระบบป้องกันในอุปกรณ์
แอนตี้ไวรัสสามารถช่วยป้องกันและตรวจจับไฟล์ที่เป็นอันตรายได้
✅ อย่าปิดระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์
หากเว็บไซต์บอกให้ปิดแอนตี้ไวรัสก่อนติดตั้งไฟล์ แสดงว่าอาจมีมัลแวร์แฝงอยู่
✅ หากเผลอติดตั้งไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย ให้รีบสแกนหาไวรัสทันที
หากรู้สึกว่าอุปกรณ์ทำงานผิดปกติหลังจากติดตั้งไฟล์ ให้รีบสแกนด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัส และถ้าจำเป็น ควรรีเซ็ตระบบ
2.3 เว็บไซต์ตลาดมืด (Dark Web Scams)
เว็บไซต์ตลาดมืด (Dark Web) คืออะไร?
เว็บไซต์ตลาดมืด หรือ Dark Web เป็นส่วนหนึ่งของอินเทอร์เน็ตที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเบราว์เซอร์ทั่วไป เช่น Chrome หรือ Firefox แต่ต้องใช้เบราว์เซอร์เฉพาะ เช่น Tor (The Onion Router) ในการเข้าไปยังเครือข่ายที่ซ่อนตัวอยู่
เว็บไซต์ตลาดมืดมักถูกใช้เป็นแหล่งซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย เช่น ข้อมูลบัตรเครดิตที่ถูกขโมย ยาเสพติด อาวุธ ซอฟต์แวร์แฮ็ก และบริการจ้างแฮ็กเกอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งรวมเว็บไซต์หลอกลวง (Dark Web Scams) ที่มีเป้าหมายในการขโมยเงินหรือข้อมูลจากผู้ใช้ที่ไม่ระมัดระวัง
ประเภทของเว็บไซต์ตลาดมืดที่ควรระวัง
1️⃣ เว็บขายสินค้าผิดกฎหมาย
✅ มีการขาย ยาเสพติด อาวุธ ซอฟต์แวร์แฮ็ก ไอดีปลอม และข้อมูลบัตรเครดิตที่ถูกขโมย
✅ ใช้คริปโตเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin หรือ Monero ในการชำระเงิน
✅ มีระบบซื้อขายที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จากภาครัฐ
⛔ ความเสี่ยง:
- อาจไม่ได้รับสินค้าหลังจากจ่ายเงิน
- อาจถูกตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายติดตาม
- อาจได้รับสินค้าที่เป็นอันตราย หรือถูกติดตามจากกลุ่มอาชญากร
2️⃣ เว็บ Scam ที่อ้างว่าขายสินค้าหรือบริการ แต่ไม่มีอยู่จริง
✅ หลอกขาย Bitcoin ราคาถูก, บัตรของขวัญ, หรือบัญชีพรีเมียม
✅ อ้างว่าสามารถ ปลดล็อกบัญชีที่ถูกแบน หรือขายข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่น
✅ มีราคาสินค้าที่ถูกเกินจริงเพื่อดึงดูดเหยื่อ
⛔ ความเสี่ยง:
- โอนเงินไปแล้วไม่ได้รับสินค้า
- ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวเมื่อสมัครสมาชิก
- โดนรีดไถเงินโดยมิจฉาชีพ
3️⃣ เว็บฟิชชิ่งที่แอบอ้างเป็นตลาดมืดที่น่าเชื่อถือ
✅ หลอกให้ผู้ใช้สมัครสมาชิกและป้อน ชื่อผู้ใช้-รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต
✅ เมื่อเข้าสู่ระบบ อาจมี มัลแวร์ ที่ฝังอยู่ในเว็บเพื่อขโมยข้อมูลของผู้ใช้
✅ อาจขอให้โอน Bitcoin หรือคริปโตเคอร์เรนซีไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
⛔ ความเสี่ยง:
- ถูกขโมยรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญ
- ติดมัลแวร์หรือไวรัสที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในอุปกรณ์ของคุณ
- เงินในกระเป๋าคริปโตหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้
4️⃣ บริการจ้างแฮ็กเกอร์ (Fake Hacking Services)
✅ เว็บตลาดมืดบางแห่งอ้างว่ามี แฮ็กเกอร์รับจ้าง ที่สามารถทำงานต่าง ๆ ได้ เช่น
- แฮ็กบัญชี Facebook, Instagram, หรืออีเมล
- ดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ของบุคคลอื่น
- จ้างให้โจมตีเว็บไซต์ของคู่แข่ง
⛔ ความเสี่ยง:
- จ่ายเงินไปแล้วไม่ได้รับบริการ
- ถูกแฮ็กเองแทน เพราะเว็บนั้นอาจเป็นกลลวงเพื่อดึงดูดเหยื่อ
- ถูกตามรอยโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
5️⃣ เว็บแชร์ลูกโซ่และการลงทุนในตลาดมืด
✅ อ้างว่าเป็น แพลตฟอร์มลงทุน Bitcoin หรือคริปโตเคอร์เรนซี ที่ให้ผลตอบแทนสูง
✅ หลอกให้ฝากเงินแล้วไม่สามารถถอนออกได้
✅ มีการให้โบนัสสำหรับผู้ที่แนะนำเพื่อนมาเพิ่ม
⛔ ความเสี่ยง:
- เว็บอาจปิดตัวลงทันทีเมื่อได้เงินจากผู้ลงทุนมากพอ
- ไม่มีใบอนุญาตหรือการรับรองใด ๆ
- เงินที่ลงทุนไปไม่สามารถติดตามหรือขอคืนได้
วิธีป้องกันตัวเองจากเว็บไซต์ตลาดมืดที่เป็นอันตราย
✅ อย่าเข้าไปใน Dark Web หากไม่มีความจำเป็น
- ตลาดมืดเต็มไปด้วยอันตราย และอาจทำให้คุณตกเป็นเป้าหมายของอาชญากร
✅ หากจำเป็นต้องเข้าไป ควรใช้เครื่องมือความปลอดภัยสูงสุด
- ใช้ VPN, Tor Browser, และระบบป้องกันมัลแวร์ เพื่อปกป้องตัวเอง
- ไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลหรือรหัสผ่านที่เชื่อมโยงกับบัญชีสำคัญ
✅ หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมทางการเงินในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
- หากเว็บขอให้โอน Bitcoin หรือคริปโตไปยังบัญชีที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ควรหลีกเลี่ยง
✅ อย่าหลงเชื่อเว็บที่เสนอของถูกเกินจริง
- หากเว็บอ้างว่าสามารถขายสินค้าหรือบริการในราคาถูกผิดปกติ แสดงว่าอาจเป็นกลโกง
✅ อย่าติดตั้งไฟล์ใด ๆ จากเว็บไซต์ตลาดมืด
- ไฟล์ที่ดาวน์โหลดอาจแฝง มัลแวร์ โทรจัน หรือไวรัส ที่อาจขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณ
✅ หากถูกหลอกลวง ควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- หากคุณตกเป็นเหยื่อของเว็บ Scam ควรรายงานไปยังหน่วยงานไซเบอร์ เช่น ตำรวจไซเบอร์ หรือองค์กรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
2.4 เว็บไซต์หลอกลงทุนและแชร์ลูกโซ่
เว็บไซต์หลอกลงทุนคืออะไร?
เว็บไซต์ประเภทนี้มักอ้างว่าเป็น แพลตฟอร์มการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง โดยมีลักษณะเป็น แชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) หรือ แผนการลงทุนปลอม (Investment Scam) ที่หลอกให้ผู้คนฝากเงินเข้าระบบโดยให้สัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น
ผู้ที่หลงเชื่อและลงทุนในช่วงแรก อาจได้รับผลตอบแทนจริง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น แต่เมื่อมีผู้ลงทุนจำนวนมากขึ้น เจ้าของเว็บไซต์หลอกลวงจะปิดเว็บไซต์และหายตัวไป ทำให้ผู้ลงทุนที่อยู่ในลำดับหลังสุด สูญเสียเงินทั้งหมด
รูปแบบของเว็บไซต์หลอกลงทุนและแชร์ลูกโซ่
เว็บไซต์เหล่านี้มักใช้กลยุทธ์ที่แนบเนียนเพื่อหลอกลวงเหยื่อ เราสามารถสังเกตได้จากลักษณะต่อไปนี้
1️⃣ อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง
✅ “ลงทุน 1,000 บาท รับผลตอบแทน 100,000 บาท ภายใน 7 วัน!”
✅ “กำไรแน่นอน ไม่มีความเสี่ยง!”
✅ “ลงทุนง่าย ๆ แค่ฝากเงินแล้วรอรับผลกำไร!”
⛔ ความจริง: ไม่มีการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยไม่มีความเสี่ยง การอ้างเช่นนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นแชร์ลูกโซ่
2️⃣ ใช้ระบบแนะนำเพื่อนเพื่อให้ขยายเครือข่าย (Pyramid Scheme)
✅ ต้อง ชวนเพื่อนมาลงทุน เพื่อรับโบนัสพิเศษ
✅ มีโครงสร้างแบบ “ยิ่งหาคนมาเพิ่ม ยิ่งได้เงินมากขึ้น”
✅ อ้างว่า ยิ่งอยู่ในระบบนาน ยิ่งได้กำไรมาก
⛔ ความจริง: การลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแนะนำเพื่อน หากแพลตฟอร์มใดต้องการให้คุณเชิญเพื่อนเพิ่มเพื่อให้ได้กำไร นั่นอาจเป็นสัญญาณของแชร์ลูกโซ่
3️⃣ ไม่มีข้อมูลบริษัทที่น่าเชื่อถือ
✅ ไม่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)
✅ ไม่มีที่อยู่บริษัทที่ชัดเจน หรือใช้ที่อยู่ปลอม
✅ เว็บไซต์ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับทีมงานหรือผู้ก่อตั้ง
⛔ ความจริง: บริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องมีที่อยู่ที่ตรวจสอบได้ และต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4️⃣ เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือและไม่มีความปลอดภัย
✅ เว็บไซต์ดูไม่เป็นมืออาชีพ มีคำผิดและการแปลที่ผิดปกติ
✅ ไม่มีการเข้ารหัส HTTPS หรือมี URL แปลก ๆ
✅ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขการลงทุนที่ชัดเจน
⛔ ความจริง: เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านการเงินต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง หากเว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือและไม่มี HTTPS อาจเป็นเว็บไซต์ปลอม
5️⃣ มีคำพูดและกลยุทธ์ที่โน้มน้าวให้ลงทุนเร็ว ๆ
✅ “โอกาสมีแค่วันนี้เท่านั้น!”
✅ “สมัครตอนนี้รับโบนัสฟรี!”
✅ “รีบลงทุนก่อนที่โควต้าจะเต็ม!”
⛔ ความจริง: การลงทุนที่ดีไม่ควรมีการบังคับให้รีบตัดสินใจ หากเว็บไซต์ใดใช้คำพูดเร่งรัดให้รีบโอนเงิน อาจเป็นการหลอกลวง
ตัวอย่างเว็บไซต์หลอกลงทุนและแชร์ลูกโซ่ที่พบบ่อย
📌 เว็บเทรดคริปโตปลอม – อ้างว่ามี AI เทรดให้กำไรสูง แต่เมื่อผู้ใช้ฝากเงินแล้วไม่สามารถถอนเงินได้
📌 แพลตฟอร์มเทรด Forex ปลอม – หลอกให้ฝากเงินเข้าระบบแล้วปิดเว็บหนี
📌 เว็บแชร์ลูกโซ่ที่หลอกให้ฝากเงินเพื่อรับผลตอบแทนสูง – ใช้รูปแบบ “ลงทุน 1,000 รับ 10,000” แต่สุดท้ายเงินหายไป
📌 แพลตฟอร์มลงทุน NFT หรือ Metaverse ปลอม – หลอกขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีมูลค่าจริง
📌 เว็บไซต์ที่อ้างว่ามีบอทเทรดอัตโนมัติ – หลอกว่า AI จะทำกำไรให้ แต่เมื่อโอนเงินแล้วถอนออกไม่ได้
วิธีป้องกันตัวเองจากเว็บไซต์หลอกลงทุน
✅ เช็กข้อมูลบริษัทก่อนลงทุน
- ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ค้นหาข้อมูลรีวิวจากแหล่งที่เชื่อถือได้
✅ หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ
- หากให้ผลตอบแทนสูงโดยไม่มีความเสี่ยง อาจเป็นการหลอกลวง
✅ ไม่ลงทุนในเว็บไซต์ที่ไม่มี HTTPS และไม่มีข้อมูลทีมงาน
- เว็บไซต์ลงทุนที่น่าเชื่อถือควรมี HTTPS และข้อมูลผู้ก่อตั้งที่ตรวจสอบได้
✅ อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
- หากเว็บไซต์ขอข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เช่น สำเนาบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร อาจเป็นกลโกง
✅ อย่าเชื่อคำเชิญชวนจากบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจ
- หากมีคนชวนให้ลงทุนโดยอ้างว่าได้กำไรมหาศาล ให้ตรวจสอบก่อน
✅ เช็กว่าถอนเงินได้จริงหรือไม่
- เว็บไซต์หลอกลงทุนมักให้ฝากเงินง่าย แต่ถอนออกไม่ได้
3. วิธีป้องกันตัวเองจากเว็บไซต์อันตราย
3.1 ตรวจสอบ URL ให้แน่ใจว่าเป็นเว็บจริง
ก่อนจะคลิกลิงก์ใด ๆ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL นั้นเป็นของจริง ดูว่ามี HTTPS อยู่หน้าที่อยู่เว็บหรือไม่ และหลีกเลี่ยงเว็บที่มีตัวสะกดแปลก ๆ
3.2 อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันในทุกเว็บไซต์
หากรหัสผ่านของคุณถูกขโมยจากเว็บหนึ่ง แฮกเกอร์อาจนำไปทดลองใช้กับเว็บอื่น ๆ ได้ การใช้ รหัสผ่านที่แตกต่างกันและเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) จะช่วยลดความเสี่ยง
3.3 หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
ควรดาวน์โหลดซอฟต์แวร์หรือไฟล์จาก เว็บไซต์ทางการหรือแหล่งที่ได้รับการรับรอง เท่านั้น และอย่าคลิกลิงก์ที่น่าสงสัยในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
3.4 ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและอัปเดตระบบอยู่เสมอ
ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสและอัปเดตระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ที่แฝงมากับเว็บไซต์อันตราย
3.5 เช็กข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้
ติดตามข่าวสารจาก ตำรวจไซเบอร์ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่ออัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์อันตรายที่กำลังแพร่ระบาด
4. สรุป อย่าตกเป็นเหยื่อเว็บไซต์อันตราย
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปแบบของ เว็บไซต์อันตราย กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แฮกเกอร์ใช้เทคนิคที่แนบเนียนและหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่การปลอมแปลงเว็บไซต์ที่ดูเหมือนจริง ไปจนถึงการใช้ข้อความลวงให้เหยื่อหลงเชื่อและกรอกข้อมูลสำคัญ หากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ระมัดระวัง ก็อาจตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรมข้อมูล การแฮกบัญชี หรือการสูญเสียเงินโดยไม่รู้ตัว