ฟักเขียว ภาษาจีนเรียกว่า 冬瓜 (ตงกวา) คนแต้จิ๋วเรียกว่า ตังกวย เป็นพืชผักสวนครัวที่ปลูกง่าย จึงมีอยู่ทั่วไป และสามารถนำไปกินได้ทั้งดิบและสุก ส่วนใหญ่แล้วคนไทยจะนำฟักเขียวมาประกอบอาหารโดยใส่ไว้ในแกง ต้ม หรืออาหารผัดต่างๆ บางทีก็นำมาเป็นส่วนผสมของขนมหวาน ยอดอ่อนบางทีก็นำมาลวก หรือ ต้มกะทิ กินร่วมกับน้ำพริก จากการค้นคว้าพบว่า หลายๆประเทศได้มีการนำฟักเขียวมาใช้เป็นยาสมุนไพรด้วย เราจึงกล่าวได้ว่า ฟักเขียวเป็นพืชผักอย่างหนึ่งที่เป็นทั้งอาหารและยา อย่างในประเทศอินเดีย ใช้เมล็ดฟักเขียว เพื่อบรรเทาอาการไอ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ผลใช้ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย ที่ประเทศเกาหลีได้มีการวิจัยฟักเขียวแล้วพบว่า มีคุณสมบัติป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือด และลดการเจริญเติบโตของเซลล์ไขมัน แพทย์พื้นบ้านของเกาหลีได้ใช้ฟักเขียวในการรักษาเบาหวาน และนำมาเป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศจีนทางการแพทย์สมัยใหม่ก็มีการวิจัยถึงคุณสมบัติของฟักเขียว ได้มีการทดลองนำมารักษาผู้ป่วยที่เป็นความดันสูง และใช้เป็นยาต้านอาการอักเสบต่างๆ และได้มีการสกัดสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาออกมาจากฟักเขียว ทั้งเนื้อ ไส้และเมล็ด เพื่อที่จะนำมาเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคต่อไปด้วย

สารอาหารที่พบในฟักเขียว

     ในฟักเขียวมีสารอาหารมากมาย เช่น มีกากใยอาหารสูง วิตามิน ซี บี1 บี2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และโปรตีน

ประโยชน์ของฟักเขียวในทางการแพทย์จีน

0287ikdir     ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น รสหวาน ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก และกระเพาะปัสสาวะ มีสรรพคุณช่วยดับร้อน ดับกระหาย ล้างพิษร้อน ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก และบรรเทาอาการไอหอบ หอบหืด ช่วยขับน้ำลดบวม รักษาปากเป็นแผลได้ ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันสูง ฝีในปอด ไตอักเสบ และแก้พิษสุรา พิษจากอาหารทะเล ลดน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ

ฟักเขียวกับสรรพคุณทางยา

สำหรับผู้ป่วยโรคไต มีอาการตัวบวม

  • แบบที่ 1. นำฟักเขียวมาปอกเปลือก นำส่วนเปลือกไปตากแห้ง จากนั้นนำไปต้มรวมกับเปลือกขิงตากแห้ง และเปลือกส้มตากแห้ง และนำน้ำที่ต้มมาดื่ม
  • แบบที่ 2.นำเปลือกฟักเขียวตากแห้ง ไปต้มรวมกับถั่วแดงเม็ดเล็กหรือถั่วเขียวก็ได้ หรือจะใส่ทั้งหมดรวมกับข้าวสารต้มเป็นโจ๊กแล้วนำไปกินก็ได้
  • แบบที่ 3.เอาเปลือกฟักเขียวตากแห้ง กับเปลือกแตงโม ไปต้มรวมกันดื่มแทนชา
  • แบบที่ 4.เอาเปลือกฟักเขียวตากแห้ง เยื้อหุ้มถั่วแระ เต็งซัมฮวย(ดอกต้นกก) น้ำตาลกรวด นำทั้งหมดต้มรวมกันด้วยไฟแรงประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม

ข้อควรระวัง

เนื่องจากมีฤทธิ์เย็น ผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีอาการท้องร่วงบ่อยๆกระเพาะอาหารเย็น ไม่ควรกิน