เทคโนโลยีก้าวหน้าก็ทำให้ความสนใจและวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป เทรนด์การสร้างบ้านเองที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและปัจจัยต่างๆทั้งสภาพภูมิอากาศ รวมถึงโครงสร้างประชากรศาสตร์ของประเทศไทย ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็เปลี่ยนแปลงตามไปควบคุมกับความทันสมัยของเทคโนโลยีด้วย ล่าสุด สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี มีความต้องการสร้างบ้านมากยิ่งขึ้นและกำลังซื้อในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็ส่งญาณที่ดีด้วยในตอนนี้
จากเดิมความต้องการสร้างบ้านนั้นจะอยู่ในกลุ่มที่มีอายุ 45-60 ปี แต่ตอนนี้ กลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีกลับมีความต้องการสร้างบ้านมากกว่า นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ปี 2561 แบบบ้านที่ลูกค้าต้องการมี 4 เทรนด์หลัก ได้แก่
1.แบบบ้านประหยัดพลังงานและรักษ์โลก (Eco Friendly) เป็นบ้านที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าโดยไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
2. บ้าน 3 เจเนอเรชัน (Cluster) จัดเป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นปู่ย่า ตายาย อาศัยอยู่ร่วมกันกับบ้านลูก บ้านหลาน ในพื้นที่เดียวกันหรือหลังเดียวกัน โดยมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน และใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์กันอย่างอบอุ่น เป็นบ้านผู้สูงอายุที่ไม่โดดเดี่ยว
3. บ้านแบบครอบครัวขยาย (Multi Family) หรือบ้านหลายหลังในพื้นที่เดียวกัน อยู่รวมกันแบบเป็นครอบครัวใหญ่ โดยอาจจะมีส่วนบริการ สันทนาการร่วมกัน เช่น สระว่ายนํ้า ห้องรับประทานอาหาร ฟิตเนส หรือสวนของบ้านนั่นเอง
4. บ้านอัจฉริยะ (Innovative Living) คาดในอีก 2-3 ปี บ้านที่สร้างใหม่ทุกหลังจะมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งในแง่การออกแบบ วัสดุที่ใช้ก่อสร้างและตกแต่ง และเทคโนโลยีในการก่อสร้าง แต่ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก
สำหรับสภาพตลาดของการรับสร้างบ้านในต้นปี 61 นี้ส่งสัญญาณในเชิงบวก เชื่อว่าตลาดจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไม่ตํ่ากว่า 5% โดยสินค้ากลุ่มหลักยังคงเป็นบ้านราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของยอดขายรวม รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของยอดขายรวม ส่วนที่เหลือคือ บ้านกลุ่มราคาตํ่ากว่า 2.5 ล้านบาท สัดส่วน 10% กลุ่มราคา 10-20 ล้านบาท สัดส่วน 5% และมากกว่า 20 ล้านบาท สัดส่วน 4%
อ้างอิงจาก : ฐานเศรษฐกิจ