หนึ่งในคำตอบที่เราเชื่อมากที่สุดสำหรับการเดินเข้าฟิตเนสวันแรกหรือออกไปวิ่งในสวนวันแรก หลายๆคนก็คงจะมีคำตอบคล้ายๆกัน คือ “อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” สุขภาพเป็นเรื่องที่ไม่ว่าคุณหรือใครในโลกนี้ก็ล้วนต้องการเหมือนๆกัน คือ การมีสุขภาพที่ดี เพราะเมื่อเรามีสุขภาพที่ดี ชีวีก็จะมีสุขมากขึ้นจะทำงาน ไปเที่ยวหรือทำอะไรในไลฟ์สไตล์แบบคุณก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร แต่นั่นแหละคือสิ่งที่น่าคิดว่าต้นตอที่แท้จริงของ “ความต้องการ” เปลี่ยนแปลงตัวเองมาจากอะไรแน่ ? มาจากการไม่ยอมรับสภาพของตัวเอง ใช่หรือไม่ และทำไมล่ะเราถึงไม่ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ของตนเอง เพราะสิ่งที่เป็นอยู่นี้มันไม่ดีต่อชีวิตใช่ไหมล่ะ

เปลี่ยนแปลงตัวเองรับปีใหม่ก็ดีเหมือนกันนะ

healthy-lifestyle     การที่เราเริ่มต้นคิดว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ นั่นนับเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องแล้ว และคุณรู้หรือไม่ว่าแค่คุณคิดร่างกายคุณก็จะตอบสนองเช่นนั้นด้วย ทุกๆช่วงปีใหม่แต่ละปีที่ผ่านไป คุณอาจจะเคยได้ยินเพื่อน หรือคนในครอบครัวมักพูดว่า “ปีนี้จะเริ่มออกกำลังกายแล้ว” แต่…สุดท้ายแล้วเรามักจะเห็นว่า ล้มเหลวทุกราย และนั่นอาจเป็นตัวคุณเองด้วยใช่ไหมที่เป็นเช่นนั้น ที่ส่วนใหญ่คิดจะทำ…แล้วล้มเหลวก็เพราะว่า ไม่วางแผนก่อนจะลงมือทำ นั่นจึงทำให้เราขาดความมุ่งมั่นไปในที่สุด หลายคนบอกว่าจะลดพุงอยากมีซิกแพ็ค เอาเข้าจริงทำไปได้แค่เดือนเดียว ยังไม่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลงก็ล้มเลิกไปเสียก่อน ขอให้คุณจงจำไว้ว่า “กำแพงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ ตัวคุณเอง” แม้กำแพงจะสูงจะหนาแค่ไหน แต่การก้าวข้ามกำแพงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากคุณเรียนรู้ที่จะปีนอย่างถูกวิธี การทำความเข้าใจเสียก่อนว่าทุกอย่างมันมีขั้นตอน มีกระบวนการของมันจะช่วยให้คุณก้าวข้ามกำแพงไปได้ในที่สุด ดังนั้นคุณควรจะวางแผนระยะสั้นให้เป็น จากนั้นก็ต้องรู้จักวางแผนระยะยาวด้วยเพื่อความสำเร็จของคุณ

เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมีแผนก็ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง

     เราขอยกตัวอย่างง่ายๆจากคำพูดว่า “ฉันอยากมีซิกแพ็คเร็วๆ กับ “ฉันจะต้องไปฟิตเนสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน โดยออกกำลังกายเบาหรือหนักแค่ไหนก็ได้” สองประโยคนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณคิดว่าคำพูดไหนที่น่าจะเป็นจริงมากกว่ากัน? การบิดวิธีคิดเล็กน้อย สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวง คนที่เลือกแบบแรกนั้นฝืนร่างกายตัวเองตลอดเวลา ตั้งแต่บังคับตัวเองให้ตื่นเช้า กินแต่อกไก่กับผักใบเขียว ออกกำลังกายอย่างหนัก สุดท้ายร่างกายไปต่อไม่ไหวเพราะความเครียดที่สูงขึ้น วิธีนี้อาจจะเหมาะสำหรับนักกีฬามืออาชีพมากกว่า ส่วนคนที่เลือกแบบที่สองสามารถใช้ชีวิตปกติได้อย่างมีความสุขมากกว่า ได้กินของที่อยากกินบ้าง และฝืนตัวเองน้อยลง เพราะฉะนั้นคนที่เลือกแบบนี้อาจไม่ได้มีซิกแพ็คในเร็ววัน แต่เขาสามารถใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์แบบนี้ได้เป็นปี โดยที่เขาไม่รู้สึกว่าลำบากอะไรเลย แถมยังได้กำไรเป็นสุขภาพที่ดี นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ สำหรับคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งคุณจะเห็นว่าในความเหมือนก็มีความแตกต่าง เป้าหมายเดียวกันแต่ใช้วิธีที่แตกต่างกันผลลัพธ์ที่ได้ย่อมมีความต่าง

เมื่อรักตัวเองเป็น สิ่งดีๆจะกระจายไปสู่ผู้อื่นด้วย

     สมการชีวิตที่ว่านี้นอกจากจะสอนให้คุณรู้จักรักตัวเองแล้ว ความรักนั้นยังกระจายไปสู่คนอื่นโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยก็ได้ เช่น เมื่อก่อนคุณชวนคนรักไปกินฟาสต์ฟู้ด แต่พอคุณเริ่มมีสมการชีวิตที่ถูกต้องคุณกลับอยากพาคนรักไปกินของที่มีประโยชน์แทน คุณเริ่มห้ามปรามเพื่อนๆที่เป็นนักดื่มให้ดื่มน้อยลง คุณเริ่มเป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนคนอื่นไปออกกำลังกาย นี่เป็นเพียงข้อดีบางประการที่คุณจะได้รับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มวิ่งหรือเริ่มเข้าฟิตเนสเลยนะ หยาดเหงื่อและความเหนื่อยจากการออกกำลังกายยังผลักดันให้คุณไปได้ไกลขึ้นในชีวิตจริง เพราะมันสอนให้คุณรู้จักก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเจอบททดสอบไหนเข้ามาในชีวิต คุณก็ยังมีความรู้สึกว่า “ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้”

เปลี่ยนแปลงตัวเองแบบฉบับ เดวิด เบ็คแฮม

     คุณรู้ไหมคำถามที่เป็นต้นเรื่องของเราที่ว่า “คนเราออกกำลังกายไปเพื่ออะไร” ซุปเปอร์สตาร์อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษที่เราทุกคนรู้จักเขาเป็นอย่างดีอย่างเดวิด เบ็คแฮม เขามีคำตอบกับคำถามนี้อย่างไร

การมีชีวิตอยู่เพื่ออยู่ดูแลคนที่เรารัก

นี่คือคำตอบที่แสนสั้นและเรียบง่าย แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งกินจากจากปากของอดีตซุปเปอร์นักฟุตบอลชื่อก้องโลกอย่าง เดวิด เบ็คแฮม และเขายังขยายความด้วยว่า

เพราะความรักถือเป็นพลังในการขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ไม่ว่าคุณจะร่ำรวยล้นฟ้าหรือมีชื่อเสียงมากที่สุด คงไม่มีประโยชน์อะไร หากคุณไม่ได้มีสุขภาพที่ดีหรือไม่ได้อยู่กับคนที่คุณรัก

     แม้ปัจจุบันเดวิด เบ็คแฮม จะไม่ได้ซ้อมกีฬาอย่างจริงเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตาม เพราะตอนนี้เขาไม่ได้เป็นนักกีฬาอาชีพอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังคงออกกำลังกายอยู่เสมอๆ ทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการเล่นบอดีเวทเท่าที่จำเป็น และไม่ว่าตารางงานของเขาจะยุ่งสักเพียงไหน เขาก็ยังคงหาเวลาออกกำลังกายได้อยู่ตลอด

     สิ่งที่เบ็คแฮมทำอยู่นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า “วันนี้คุณทำอะไรอยู่” ถ้าคุณบอกว่าคุณยุ่งมาก เบ็คแฮมเขาก็ยุ่งมากไม่ต่างจากคุณหรอก คุณลองตื่นเช้ากว่าปกติสักครึ่งชั่วโมงไหม ? หรือ เลิกงานแล้วก่อนเข้าบ้านลองไปวิ่งที่สวนสัก 45 นาทีไหม? หรือมื้อเย็นเปลี่ยนจากหมูกระทะมาเป็นน้ำพริกผักต้มบ้างดีไหม? ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่คุณเลือก อยู่ที่คุณคิด เมื่อคุณคิดดีก็จะส่งผลต่อการกระทำที่ดี แม้ช่วงเริ่มต้นมันอาจจะยากและทุลักทุเลบ้าง แต่เมื่อร่างกายเริ่มชิน มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คุณเอง

     บอกกับตัวเองเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับ การเริ่มต้นดูแลตัวเอง การที่คุณเริ่มรู้จักรักตัวเองก่อนนั่นจะทำให้คุณอยากดูแลคนใกล้ชิดของคุณด้วย