แม้กระแส ‘คอลลาเจน’ (Collagen) ในช่วงหลังๆดูจะซาลงไป แต่สำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจคอลลาเจนอย่างแบรนด์ ‘คอลลี่ คอลลาเจน’ ก็ยังมีกำไรและมั่นใจว่า ตลาดคอลลาเจนในไทยยังพอไปได้ อีกทั้งยังเชื่อมั่นอีกว่าจะสามารถเดินหน้าบุกตลาดอาเซียน รุกเวียดนาม และกระโดข้ามไปยังตลาดจีนได้อีกด้วย
ตลาดคอลลาเจนยังคงมูลค่าสูง
นายพีรพัฒน์ ลิขิตรัตน์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีพีที พลัส จำกัด เจ้าของแบรนด์คอลลาเจนชื่อดังที่คุ้นหูกันดีนั่นคือ คอลลี่ คอลลาเจน (Colly Collagen) ได้เปิดเผยว่า ในช่วงปีถึง 2 ปีนี้อาจจะดูว่าตลาดธุรกิจคอลลาเจนในประเทศไทยดูเงียบๆไป อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซบเซา มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วตลาดธุรกิจคอลลาเจนยังคงโตอยู่ อีกทั้งยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ถ้าดูตัวเลขในปี 60 ที่ผ่านมาตลาดธุรกิจคอลลาเจนมีมูลค่าตลาดรวมทั้งประเทศสูงประมาณ 4,500 ล้านบาท ถึงแม้ว่าจะไม่โตและขยายตัวแบบก้าวกระโดด แต่ด้วยกระแสเทรนด์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องสุขภาพ ความสวยความงาม ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผิวที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจน ยังคงทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
นายพีรพัฒน์ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อดูจากแบรนด์คอลลี่ คอลลาเจนแบรนด์เดียว ผลประกอบการในไตรมาสแรกก็ถือว่าน่าพอใจ ยังสามารถทำกำไรได้แม้ว่าตลาดคอลลาเจนในไทยจะอยู่ในสภาพทรงตัวไม่ขยายตัวมากนัก แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่เกี่ยวกับคอลลาเจนนั้นค่อนข้างที่จะตอบโจทย์ต่างประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น ทำให้การส่งออกส่วนนี้สามารถสร้างรายได้ชดเชยทำให้ผลกำไรในธุรกิจคอลลาเจนในไตรมาสแรกนี้ยังไปได้สวย ซึ่งตอนนี้ทางแบรนด์คอลลี่ คอลลาเจนก็ได้มีการไปตั้งสำนักงานที่เวียดนามเรียบร้อยแล้ว เป็นการเตรียมการขยายธุรกิจไปในประเทศอาเซียนต่างๆ เอาแค่ในอาเซียนประชากรก็มากกำลังซื้อก็สูงพอที่จะทำให้ธุรกิจคอลลาเจนเติบโตไปได้อีก และก้าวต่อไปสำหรับคอลลี่ คอลลาเจนคือตลาดจีน เพราะสภาพตลาดจีนในตอนนี้กำลังโตแบบก้าวกระโดด
เป้าหมายต่อไปของธุรกิจคอลลาเจน ควรพุ่งเป้าไปทีไหน
หากมองการเติบโตธุรกิจคอลลาเจนไปที่จีน ก็ต้องดูเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคของคนจีน ซึ่งดูจากนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย จะพบว่า คนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยส่วนมากแล้วจะเป็นกลุ่มคนจีนที่ค่อนข้างมีเงิน คือ ที่มีรายได้ระดับ B+ ขึ้นไป ซึ่งกลุ่มนี้สนใจสินค้าจากไทยหลายชนิด และหนึ่งในนั้นก็จะมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่เกี่ยวกับคอลลาเจนด้วย นักท่องเที่ยวจีนจะซื้อสินค้าไทยเหล่านี้ก่อนกลับประเทศ จึงเป็นโอกาสที่คนทำธุรกิจคอลลาเจนจะหาช่องทางเจาะตลาดจีนไว้บ้าง แต่อย่างไรก็ดี การจะนำคอลลาเจนบุกตลาดจีนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในตอนนี้ ต้องดูระยะยาว หลังจาก ‘แจ็ค หม่า’ มาไทยทำให้อะไรๆที่จะส่งออกไปจีน หรือจะไปตั้งสำนักงานที่จีนต้องพิจารณาให้รอบคอบ การติดต่อทำธุรกิจกับจีนนั้นจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ เพราะจีนจะไม่ติดต่อกับเราโดยตรงมักจะติดต่อผ่านคนกลางอีกที ฉะนั้น เป้าหมายต่อไปของคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอลลาเจน ควรเริ่มที่อาเซียน เวียดนาม อินโดนีเซีย ตลาดกลุ่มนี้มีโอกาสโตและขยายตัวได้อีกมาก
สำหรับผู้ที่อยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับคอลลาเจน ที่ยังต้องการทำตลาดอยู่ในประเทศไทย สิ่งที่ควรทำในตอนนี้ก็คือ เน้นการขายผลิตภัณฑ์คอลลาเจนต่างๆผ่านโมเดิร์นเทรดอย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น วัตสัน รวมถึงร้านขายยา และควรจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเพื่อกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชายด้วย ซึ่งจะทำให้ยอดขายโตไปได้อีก