สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจะลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ซื้อบ้านหรือคอนโด แล้วประสบความสำเร็จในสไตล์นักลงทุนยุคใหม่ คือซื้อมาแล้วให้คนเช่าต่อโดยเราไม่ได้อยู่เอง วิธีนี้มีเทคนิคหลายอย่าง ที่จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ
ปัจจัยหลักที่จะช่วยให้การลงทุนอสังหาประสบความสำเร็จ
1.ต้องมีเงินลงทุนในระดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่เงินพอที่จะซื้อได้อย่างเดียว แต่ต้องมีเงินสำรองไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดในวันข้างหน้าด้วย
2.ต้องมีจังหวะในการซื้อ การซื้อบ้านแต่ละช่วงเวลานั้นราคาจะไม่เท่ากัน ช่วงเวลาที่ดีในการซื้อบ้านให้ได้ราคาถูกที่สุดก็คือ ช่วงแรกในการก่อสร้าง เพราะถ้ารอให้สร้างเสร็จเรียบร้อย ราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้นมาก
3.ต้องมองแบบนักลงทุนหุ้น คือ ดูจาก Growth การเติบโตของมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Dividend(ผลตอบแทน) และ Capital Gain(กำไรส่วนต่างจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น)
ลงทุนอสังหาต้องรู้จักมีแผนสำรอง
เท่าที่เจอมา คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักหวังในเรื่องความพอดีคิดว่าทุกอย่างจะเป๊ะๆจากการลงทุนกับบ้านหรือคอนโด พึ่งน้ำบ่อเดียวจากค่าเช่าเท่านั้น เวลาที่ไม่มีคนเช่า เจ้าของห้องก็ต้องกู้เงินจากแหล่งอื่นมาจ่ายเอง หรือไม่ไหวจริงๆ ก็อาจต้องยอมขายในราคาต่ำ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีแผนสำรองคือเตรียมเงินเผื่อไว้บ้างสำหรับกรณีฉุกเฉิน
ขอเปรียบเทียบแบบนี้ ถ้าเราซื้อหุ้นกู้ไว้แล้วมีการจ่ายปันผล 100 บาทนั่นเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าเราจะได้รับเงิน 100 บาท ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่เรื่องของการซื้อบ้านหรือคอนโดปล่อยเช่า แล้วทำให้เราได้เงินมา 3,000บาท/เดือน เราจะคิดว่าเรามีรายได้ 3,000บาทไม่ได้ เพราะต้องหักต้นทุนค่าการจัดการมากมาย นอกจากนี้เราต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า การซื้อบ้านหรือคอนโดมาเพื่อปล่อยเช่านั้น มันคือ “การแข่งขัน” เพราะในตึกเดียวกันหรือคอนโดใกล้กัน ก็มีคนติดประกาสให้เช่าเต็มไปหมด นอกจากเรื่องราคาที่ต้องแข่งแล้ว บางห้องยังมีOption เสริม เพื่อดึงดูดผู้เช่า เช่น มีเตาไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เรียกว่ามาแต่ตัว อยู่ได้ทันที
เอาล่ะลองมาดูตัวอย่างกันว่า ถ้าซื้อคอนโดในราคา 2 ล้านบาท จะต้องมีเงินเท่าไหร่ในการบริหารจัดการเรื่องนี้
หากซื้อคอนโดราคา 2 ล้านบาท ก็ต้องผ่อนในราคา 14,000 บาท ซึ่งคนที่จะผ่อนได้ในราคานี้ ก็ต้องมีเงินเดือน 3 เท่าของจำนวนเงินที่ผ่อนจึงเท่ากับต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำ 42,000 บาท
ซึ่งอย่าลืมว่าในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนเราต้องมีภาระอย่างอื่นอีกเช่น ผ่อนรถยนต์ ค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ที่ต้องจ่ายออกไปในแต่ละเดือนด้วย ฉะนั้นถ้ามีรายได้เยอะกว่านี้ขึ้นไป ก็จะลดความเสี่ยงได้มาก บางทีถ้าคอนโดมีการแข่งขันกันสูงมาก ราคาค่าเช่าก็อาจจะได้ไม่ถึง 14,000 บาท สมมติว่าอาจจะต้องลดราคาลงมาเหลือ 8,000 บาท ผู้ให้เช่าก็ต้องเอาเงินของตัวเองอีก 6,000 บาทไปช่วยจ่ายธนาคาร แต่เจ้าของจะได้กำไรตรงส่วนของ Capital Gain หรือ ผลกำไรส่วนต่างจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
การลงทุนในบ้านและคอนโดไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ทุกคนสามารถทำกำไรได้ หากศึกษาและวางแผนให้ดี