โลกพัฒนาเพราะเทคโนโลยีในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเป็นเทรนด์โลกในแง่ลบไปแล้วเหมือนกันสำหรับการใช้เทคโนโลยีทำลายสังคมโลก สื่อสังคมออนไลน์ในทุกวันนี้เริ่มทำร้ายและทำลายมนุษย์มากขึ้น ยิ่งถ้าเราเจาะเฉพาะประเทศไทยล่ะก็ เรื่องแย่ๆและเรื่องดราม่าที่พร้อมจะทำให้เราหดหู่เสียใจมีอยู่เต็มสื่อสังคมออนไลน์จริงๆ นี่ไม่รวมพวกมิจฉาชีพที่ใช้สื่อพวกนี้ในการทำมาหากินอีกนะ นี่จึงเป็นเหตุให้ CEO ของบริษัท Apple อย่าง “ทิม คุก” ไม่อนุญาตให้หลานชายใช้สื่อสังคมออนไลน์
ทิม คุก ได้ไปบรรยายที่ฮาร์โลว์ คอลเลจ เมืองเอสเซกส์ ประเทศอังกฤษ หนึ่งใน 70 สถาบันการศึกษาทั่วยุโรปที่เข้าร่วมหลักสูตร เอฟเวรีวัน แคน โค้ด ของ Apple มาปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื้อหาในการบรรยายนั้นทิม คุก ค่อนข้างจะให้ความเห็นในแง่ลบต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเขายังบอกด้วยว่าเขามีหลานชาย เขาให้หลานชายใช้เทคโนโลยีต่างๆ แต่จะพยายามไม่ให้หลานชายใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยไม่จำเป็น เพราะเขามองว่าการให้เด็กอยู่กับสื่อเหล่านี้มากเกินไป จะส่งผลเสียต่อเด็กและเยาวชนมากกว่าผลดี
นอกจากนั้นแล้วทิม คุกยังมีการแสดงทัศนะส่วนตัวว่า เขาไม่เชื่อว่าคนจะประสบความสำเร็จได้เพราะใช้หรืออยู่กับเทคโนโลยีทั้งวัน การใช้เทคโนโลยีมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อชีวิต กระทั่งหลักสูตรที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย อย่างกราฟิก ดีไซน์ ก็ไม่ควรให้เทคโนโลยีครอบงำ
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ CEO ของ Apple วัย 57 คนนี้ยังกล่าวด้วยว่า “บางที่ iPad ก็ไม่ได้เหมาะสมกับห้องเรียนเสมอไป” ทั้งๆที่บริษัทเทคโนโลยีอย่างเขาควรจะผลักดันอุปกรณ์ไอทีที่เขาทำเข้าสู่วงจรการศึกษาเพื่อทำกำไรให้มากขึ้น แต่กลับเป็นว่าเขาแอนตี้สิ่งนี้เล็กๆด้วยซ้ำ นั่นแสดงว่าทิม คุก มองเห็นปัญหาจากเทคโนโลยีที่เขาสร้างมากกว่ามองเห็นข้อดี
ช่วงหลังๆมานี้มีคนในแวดวงอุตสาหกรรมไอทีและเทคโนโลยีออกมาให้ความเห็นและแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์กันมากขึ้น อย่างฌอน พาร์คเกอร์ ประธานคนแรกของ Facebook ที่กล่าวหาว่า
เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์กำลังใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรกับสมองลูกหลานของเรา
เท่านั้นยังไม่พอ ปลายปีที่แล้วชามัท พาลีฮาปิติยา อดีตผู้บริหารอีกคนของ Facebook ก็ยังกล่าวอีกว่า
สื่อสังคมออนไลน์กำลังทำลายสายใยสังคม และเขารู้สึกผิดมากที่มีส่วนช่วยสร้างขึ้นมา
ในส่วนของทาง Apple เองก็มีปัญหาทำนองนี้เช่นกัน มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางบริษัท Apple 2 ราย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและท้วงติงบริษัทของตนเองว่ากำลังทำลายชีวิตของเด็ก และพวกเขาเริ่มเป็นกังวลกับเทคโนโลยีเหล่านี้ จึงอยากจะให้ทางบริษัทประชุมหาทางออกเหล่านี้ที่ดีต่อทุกๆคนด้วย
เรื่องนี้ไม่ใช่การคิดไปเองแต่อย่างใด มีผลการศึกษาในเรื่องของความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพจิตกับการใช้เทคโนโลยีของเยาวชนในต่างประเทศออกมาแล้วว่า โดยเยาวชนที่ใช้สมาร์ทโฟนวันละ 3 ชั่วโมง หรือนานกว่านี้ มีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น และการใช้สื่อสังคมออนไลน์บ่อยในเด็กวัยเกรด 8 เพิ่มความเสี่ยงซึมเศร้า 27%
ก็ดูท่าแล้วน่าจะเป็นจริงดังนั้น เพราะสื่อสังคมออนไลน์ในบ้านเราทุกวันนี้ ก็เต็มไปด้วยเรื่องดราม่าและเรื่องร้ายๆ ผู้ผลิตผู้นำเสนอต่างก็อ้างว่า คนชอบดู เห็นจากยอดไลค์ยอดแชร์ไหมล่ะ จนกลายเป็นเทรนด์โลกโซเชียลเป็นเทรนของการส่งต่อเรื่องร้ายๆและความรู้สึกในเชิงลบ มันก็อาจจะจริงส่วนหนึ่ง เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักจะชอบค้นหาแง่มุมไม่ดีของคนอื่นมากกว่าของตัวเอง แต่อีกส่วนหนึ่งความคิดในทำนองนี้ก็เหมือนจะดูถูกความคิดของผู้คนยุคใหม่ไปสักนิด หากผู้ผลิตผู้นำเสนอพยายามเสนอในสิ่งที่สร้างสรรค์มากขึ้นสิ่งเหล่านี้ก็จะมีอยู่เต็มสื่อสังคมออนไลน์มากกว่าเรื่องไม่ดี ที่ทุกวันนี้เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้บริโภคเลือกไม่ได้ไม่ใช่หรือว่าจะเสพอะไรได้ เลื่อนหน้าฟีดลงมาก็เจอแต่เรื่องดราม่า เรื่องร้ายๆ แต่ถ้ากลับกัน เลื่อนหน้าฟีดลงมาเจอเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เรื่องที่เป็นความรู้ เรื่องที่ทำให้ใจฟูได้มีอยู่เต็มไปหมด สื่อสังคมออนไลน์ก็น่าจะดูดีและมีประโยชน์กว่านี้คุณว่าไหม