การเป็นคนธรรมดาก็ว่ายากแล้ว แต่การจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่มันย่อมเป็นเรื่องที่ยากกว่า เพราะคงจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำทั้งร่างกายและจิตใจมาอย่างหนักจริงๆ เหมือนเธอคนนี้ Maude Julien หญิงชาวฝรั่งเศสวัยเกษียณ 60 ปี ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตอันโหดร้ายของเธอผ่านหนังสือ “The Only Girl in the World” ที่เธอเป็นคนเขียนเอง ถึงเรื่องราวการถูกจับทรมานร่างกายทุกรูปแบบจากชายผู้เป็นพ่อแท้ๆของเธอ ซึ่งเขาอ้างว่าสิ่งที่ทำทารุณกรรมลงไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะฝึกลูกสาวของเขาให้มีความแข็งแกร่งแบบยอดมนุษย์ เพื่อที่จะให้เธอมาปกป้องโลก !!
จะว่าไปก็เหมือนเรื่องตลกในภาพยนตร์ แต่นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์จาก Hollywood เรื่องใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์อันเลวร้ายสุดของ Maude Julien ซึ่งเธอได้เล่าไว้ในหนังสือว่า สมัยเด็กๆ ช่วงที่เธอเริ่มจำความได้ เธอรู้ว่าเธอเติบโตขึ้นมาในบริบทที่ดีเยี่ยมแตกต่างจากเด็กหลายๆคน เพราะบ้านเธอคือคฤหาสน์หรูใหญ่โตที่ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนทางตอนเหนือของฝรั่งเศส และพ่อของเธอ Louis Didier ก็เป็นบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยเป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม ซึ่งฐานะร่ำรวยที่ได้มาก็มาจากการทำธุรกิจขนส่งสินค้าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม่ของเธอก็เรียบร้อยเป็นคนเงียบๆและน่ารัก ทุกอย่างดูจะสวยหรูงดงาม แต่ทว่าโลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่สมบูรณ์แบบ Louis Didier ติดเหล้าและที่สำคัญเขายังเข้าไปเป็นสมาชิกกับกลุ่ม Freemasonry กลุ่มลัทธิที่มีมาแต่โบราณ อันมีความเชื่อในเรื่องของเวทมนต์ อาคมต่างๆ รวมทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติ(ใครเคยดูเรื่อง The Da Vinci Code ก็น่าจะคุ้นๆชื่อกลุ่มนี้) ซึ่งการที่เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มนี้ทำให้เขามีความเชื่อว่าวันหนึ่งโลกจะต้องถึงกาลอวสาน คือ เขาเชื่อในเรื่องของวันสิ้นโลกอย่างหัวปักหัวปำนั่นเอง
เท่านั้นยังไม่พอ ความเชื่อของเขายังลงลึกไปถึงขั้นที่ว่า เมื่อโลกถึงวันพิพากษา ซาตานและปีศาจร้ายจะเข้ามาคุกคามโลกและจะกระชากวิญญาณของมนุษย์ผู้มีบาปทั้งหลายไปอยู่ในนรกด้วย และสิ่งที่เขาเชื่ออย่างสนิทใจอยู่เสมอก็คือ Maude Julien ลูกสาวของเขาจะเป็น “ผู้ปลดปล่อย” เธอคือผู้ที่ถูกเลือกมาให้พิทักษ์มนุษย์โลก เธอจะเป็นคนที่ช่วยมวลมนุษยชาติให้รอดพ้นจากปีศาจและสิ่งชั่วร้าย ดังนั้น เขาจึงมีหน้าที่ “ฝึก” ลูกสาวให้มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการพิทักษ์โลก
วิธีการที่เขาเรียกว่าการ “ฝึก” จริงๆแล้วดูคล้ายๆกับการ “ทรมาน” มากกว่า เขาให้ Julien กำสายไฟในขณะที่ยังมีไฟอยู่เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย เรียกง่ายๆว่าให้เธอช็อตไฟใส่ตัวเองนั่นแหละ ซึ่ง Julien จะต้องกำสายไฟและทนต่อการช็อตนั้นให้ได้ 10 นาที ภายใน 10 นาทีนี้เธอต้องไม่แสดงสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทั้งหลายด้วย ถ้าเธอทำได้การฝึกถือว่าผ่านเธอก็จะไม่ต้องถูกฝึกแบบนี้อีก แต่ถ้าเธอยังทำไม่ได้เธอก็จะถูกทำซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่แบบนั้น วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ทำใหม่ นอกจากนั้นยังมีการจับ Julien ไปขังไว้คนเดียวในห้องใต้ดินที่อับชื้นและสกปรก ให้เธออยู่กับหนูในที่มืดๆ เพื่อให้เธอเผชิญกับความกลัวให้ได้ ให้เธอได้ใช้เวลาแห่งความกลัวสุดขีดนั้นได้ระลึกครุ่นคิดถึงความตาย เธอจะได้ไม่กลัวอีกต่อไป ไม่กลัวทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งความตายที่อยู่ตรงหน้า
ความโหดร้ายยังไม่จบแค่นั้น เขายังจับเธอไปห้อยไว้อย่างโดดเดี่ยวที่หน้าผา บังคับให้เธอทำงานที่โรงงานฆ่าสัตว์ ซึ่งเธอจะต้องลงมือฆ่าสัตว์ด้วยมือถือเอง จับถือกรอกเหล้าแล้วบังคับให้เธอเดินเป็นเส้นตรงให้ได้ ซึ่งการจับเธอกินเหล้าอย่างหนักตั้งแต่ยังเด็กนั้นส่งผลให้เธอเป็นโรคตับมาจนถึงปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่แข็งแกร่งพอหรอก เขายังปล่อยให้เธอถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนที่ทำงานในคฤหาสน์ที่เธออยู่อาศัยอีกด้วย ซึ่งคนงานคนนั้นก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในลัทธิเดียวกับ Louis Didier ซึ่งเขามองว่านี่คือบททดสอบของ Julien อีกหนึ่งอย่าง
10 ปีแห่งนรกวัยเด็กของ Julien เธอถูกทรมานแบบนั้นมาตั้งแต่ 3 ขวบ จนถึงอายุ 13 ปี ไม่มี…ไม่มีใครเลยสักคนที่จะช่วยเธอได้ แม้กระทั่งหญิงผู้เป็นแม่ของเธอเอง แม่ของ Julien ได้เพียงแต่ปลอบประโลมเธอด้วยการกอด ด้วยการอ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอน การพาสุนัขมาอยู่เป็นเพื่อน การหาลูกม้า 2 ตัวมาให้เล่นด้วยเท่านั้น ที่เป้นเช่นนั้นก็เพราะว่าแม่ของ Julien ก็มีปูมหลัง สำหรับเธอแล้ว Louis Didier เป็นเสมือนทั้งพ่อและสามี เพราะ Louis Didier รับเธอมาเลี้ยงดูตั้งแต่เธอ 6 ขวบ เลี้ยงดูกันมาเรื่อยๆเสมือนลูกต่อมาจึงเปลี่ยนสถานะมาเป็นสามีภรรยา ในที่สุดก็ให้กำเนิด Julien ในปี 1957 นั่นเอง เธอจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปค้านและห้ามปรามสิ่งใด เพราะเธอก็เป็นหนี้ชีวิต Didier ทางด้าน Julien ได้กล่าวไว้ในหนังสือว่าสุนัขและลูกม้าที่เธอมีนั้น คือสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึทุกวันนี้ เพราะสัตว์ทั้ง 3 ตัวทำให้เธอรู้สึกว่าเธอยังมีเพื่อน และสอนเธอให้รู้จักความรักและสิ่งสวยงามบนโลก ซึ่งเธอไม่เคยได้รับเลยจากมนุษย์ด้วยกัน
และแล้วผู้ปลดปล่อยเธอจากพันธนาการก็ปรากฏตัวขึ้น คนๆนั้นคือ Andre Molin เป็นครูสอนดนตรี ตอนนั้น Julien อายุได้ 15 ปีแล้ว พ่อของเธอให้ Andre มาสอน Julien เล่นแอคคอเดียนและเปียโนที่บ้าน ซึ่งคุณ Didier น่าจะถูกอัธยาศัยกับ Andre พอสมควร จึงจ้างกันนานถึง 3 ปี Andre สอนดนตรี Julien มาเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่ง Andre จึงเข้าไปคุยกับพ่อของ Julien เรื่องให้ Julienได้มีโอกาสไปเรียนดนตรีต่อที่ร้านขายเครื่องดนตรี ซึ่งเปิดเป็นโรงเรียนดนตรีเล็กๆด้วยและก็อยู่ในเมืองใกล้ๆถัดไปนี่เอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพ่อของ Julien จะอนุญาตอย่างง่ายดาย และนั่นแหละก้าวแรกของการปลดแอก ก้าวแรกที่เธอได้พ้นจากนรกทั้งเป็น
ในช่วงนั้น Julien อายุได้ 18 ปีแล้ว เธอมาเรียนดนตรีที่โรงเรียนแห่งนี้ เธอได้เห็นโลกและพบปะผู้คนมากขึ้น และเธอก็เลยขอทำงานอยู่ที่ร้านขายเครื่องดนตรีแห่งนั้นเสียเลย ต่อมาเธอก็ได้พบรักกับนักดนตรีหนุ่มคนหนึ่ง ที่พบเจอกันที่ร้านแห่งนั้นเป็นประจำ ความรักของทั้งคู่เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วไม่นาน Julien ก็ได้พูดคุยเรื่องแต่งงานกับพ่อของเธอ ซึ่งเขาก็อนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกันได้ แต่เขาไม่ลืมที่จะมีข้อแม้ว่า หลังจากแต่งงาน Julien จะต้องกลับมาที่คฤหาสน์ภายใน 6 เดือน และจะต้องกลับมาอย่าง ซิง….!! ต้องเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่เช่นเดิม Julien เธอไม่ใช่คนโง่ เธอรีบรับปากพอ แต่เธอไม่ได้ทำตามนั้น นี่คือโอกาสของเธอแล้วเธอจึงคว้าเอาไว้ และจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีกเลย
หลังจาก Maude Julien แต่งงาน เธอก็มีลูกสาว 1 คนกับหนุ่มนักดนตรี ต่อมาเลิกรากันไป Julien แต่งงานใหม่และก็มีลูกอีก 1 คน เธอก้าวข้ามผ่านนรกแห่งความโหดร้ายมาแล้ว แต่ชีวิตของเธอยังก้าวไม่พ้นนรกทั้งเป็นที่ฝังอยู่ในใจของเธอ ร่องรอยจากความเจ็บปวดทางกายและความเจ็บปวดทางใจมันฝังอยู่ในตัวเธอเต็มไปหมด นั่นทำให้เธอต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตอยู่เสมอๆ และต่อมาเธอก็ได้เข้าเรียนทางด้านจิตเวช จากที่เมื่อก่อนเธอต้องเข้าบำบัด แต่ภายหลังเธอกลายเป็นนักบำบัดไปเสียเองแล้ว เธอก้าวผ่านนรกทุกขุมในชีวิตเธอมาได้อย่างสง่างาม และปัจจุบันเธอใช้ชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุขเรื่อยมา
ทางด้าน Louis Didier พ่อของ Julien เสียชีวิตลงในปี1981 ด้วยวัย 79 ปี ส่วนแม่ของ Julien ยังมีชีวิตอยู่ แต่ Julien ก็ยอมรับตรงๆว่า เธอไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง หรือมีสายใยใดๆ กับแม่ของเธอเลย เพราะจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมามันทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้น แต่การเขียนหนังสือเล่มนี้แม้มันจะเป็นเรื่องที่ยากและตอกย้ำเธอก็ตาม แต่เธอก็ดีใจที่สามารถเขียนจนเสร็จได้ และก็ขออุทิศหนังสือเล่มนี้ให้เป็นสิ่งตอบแทนคุณแม่ของเธอก็แล้วกัน
ที่มา: independent, dailymail, nypost
ภาพบางส่วนจาก : mengenalsecretsocieties, planetxnews