นักวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยมองว่า แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตที่ระดับ 4% แต่เป็นการโตขึ้นในเศรษฐกิจภาพรวมเท่านั้น รายได้ของแรงงานไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจที่ดีไม่ได้กระจายลงไปในระดับล่าง และการลงทุนจะยังมีปัจจัยกดดันจากภาวะเงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออกของไทย
นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยจะโตแค่ในภาพรวมเท่านั้น ชนชั้นแรงงานจะยังต้องได้รับแรงกดดันจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นไปอีกสักระยะ และปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลของเศรษฐกิจไทยก็อยู่ที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่า อาจไปอยู่ที่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์ แม้ว่าจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว แต่สำหรับการส่งออกนั้นจะกระทบหนักรวมถึงการลงทุนภาคเอกชน
สำหรับด้านการลงทุนนั้น ที่น่าสนใจก็คือกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรมและสนามบิน กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สื่อโฆษณา กลุ่มเหล่านี้น่าทำการลงทุนเพราะมีโอกาสโตได้อีก
สำหรับด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ นายอภิชาติ ประสิทธิ์นฤทธิ์ นายกสมาคมการค้าอสังหาและพันธมิตร เปิดเผยว่า ในด้านอสังหาริมทรัพย์สิ่งที่ถูกจับตาคือ ภาษีที่ดินอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะถูกบังคับใช้ได้หรือไม่ โดยคาดหวังว่าจะเริ่มบังคับใช้ได้ภายในปี 2562 ปัญหาเรื่องภาษีที่ดินนั้น มีการใช้กฎหมายดั้งเดิมมายาวนาน การจะบังคับใช้กฎหมายใหม่จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายและทำได้เลย เพราะจะกระทบหลายฝ่าย แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจกันก็คืออัตราที่ดินของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ นั้นแทบจะต่ำที่สุดในโลก ขณะที่ราคาซื้อขายที่ดินแท้จริง จะสูงกว่าราคาประเมินค่อนข้างมาก ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดความเป็นธรรม การคำนวณอัตราภาษีใหม่จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำ และเรื่องของอัตราภาษีที่ดินนี้จะมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และช่วยกระจายอำนาจการบริหารให้หับส่วนท้องถิ่นมากขึ้นด้วย
อ้างอิง : ฐานเศรษฐกิจ