วงการทีวีเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง พากันพังไปเป็นแถบๆ หลังจากเทคโนโลยีเริ่มเข้ามาแทรกแซงเป็น Digital Disruption เนื้อหาต่างๆ ถูกถ่ายโอนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นตามกระแสนิยมของผู้บริโภค เม็ดเงินโฆษณาทีวีดิจิทัลจึงหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 59 เรื่อยมาจนถึงปี 61 นี้ วงการทีวีดิจิทัลไม่ว่ารายเล็กรายใหญ่จึงรีบปรับตัวเพื่อหาทางรอดและต่อสู้ต่อไปในปีหน้า

PNECO610327002000101_27032018_104451เหล่าผู้ผลิตคอนเทนต์รายการทีวีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปี 61 นี้ ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของทีวีที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับต้นทุนที่สูง โดยเฉพาะค่าสัมปทานและค่าโครงข่าย ทำให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ป้อนรายการทีวีหลายรายกระอักกันไปตามๆกัน ถึงขั้นปิดบริษัท คืนรายการให้สถานี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่หรือรายเล็กก็ตาม ต่างพากันได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า ต่างก็ประสบปัญหาในเรื่องของรายได้อย่างหนัก เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา บางรายการแม้จะมีเรตติ้งดี แต่โฆษณาไม่เข้า ทำให้มีหลายรายการที่ตัดสินใจยุติการออกอากาศลง เช่น “ที่นี่หมอชิต” ของ บริษัท ดี ทอล์ก จำกัด ในเครือแกรมมี่ ที่ปิดรายการไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา “เกมพันหน้า” ของบริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด ของเกียรติ กิจเจริญ (ซูโม่กิ๊ก) ที่ยุติการออกอากาศเมื่อปลายเดือนกันยายนปีนี้

สิ่งที่ต้องยอมรับกันตามความจริงในตอนนี้ก็คือ พฤติกรรมของคนดูเปลี่ยนไปและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเสียด้วย ทำให้ทีวีทุกช่องได้รับผลกระทบทันทีแบบตั้งตัวไม่ทัน หลายช่องหลายบริษัทคนดูลด เรตติ้งลด จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อลดต้นทุนทั้งลดบุคลากร การผลิตคอนเทนต์ ผู้จัดละครต้องปรับตัวด้วย โดยไม่ยึดติดการผลิตให้ช่องใดช่องหนึ่งเหมือนที่ผ่านๆมา แต่เริ่มหันไปทำคอนเทนต์ป้อนช่องทางต่างๆ ให้มากขึ้น จากเดิมยึดแค่จอทีวีเป็นหลัก และพยายามหารายได้ด้วยการทำไทอิน (tie-in) สินค้าในละครเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อสร้างรายได้ใหม่มาทดแทนสปอตโฆษณาที่น้อยลง

นายวราวุธ เจนธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์บันเทิง ยอมรับว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมทีวีกำลังเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน และเม็ดเงินโฆษณาลดลงต่อเนื่อง ทำให้รายได้ของทีวีหายไปและส่งผลต่อเนื่องถึงผู้ผลิตคอนเทนต์ ทำให้มีบางรายต้องปิดตัวลงเงียบๆหรือปรับโมเดลธุรกิจใหม่ สำหรับเซ้นส์ฯเองได้ปรับโมเดลธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น ทั้งรับจ้างผลิต เช่าเวลาโฆษณาและแบ่งรายได้กับช่อง ปัจจุบันมี 8-9 รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ใน 4-5 ช่อง และปี 2562 ก็จะเพิ่มอีก 2 รายการใหม่

หันมาดูผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ๆกันบ้าง อย่างบริษัท เช้นจ์ 2561 จำกัด ของคุณฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ก็ต้องเร่งปรับตัวเหมือนกัน โดยคุณฉอดยอมรับว่า ตอนนี้ตลาดเปลี่ยนเร็ว ผู้ผลิตคอนเทนต์ต้องเร่งปรับตัว ถ้ายังยึดติดอยู่กับโมเดลเดิมๆก็จะอยู่ยาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ผลิตคอนเทนต์ยังมีโอกาสเติบโต สำหรับเช้นจ์ 2561 เอง พร้อมจะผลิตคอนเทนต์ป้อนให้ทุกแพลตฟอร์ม ปี 2562 เตรียมผลิตละคร 10 เรื่อง ป้อนให้ทีวี 4 ช่อง ได้แก่ พีพีทีวี ช่องวัน 31 จีเอ็มเอ็ม 25 และอมรินทร์ทีวี ส่วนออนไลน์ก็จะผลิตคอนเทนต์ให้ทั้งเน็ตฟลิกซ์ ไลน์ทีวี

นางจำนรรค์ ศิริตัน ประธานกรรมการ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์เกมโชว์ วาไรตี้ ละคร กล่าวว่า ปัจจุบันเม็ดเงินโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของผู้ผลิตคอนเทนต์และช่องทีวีลดลง แต่ต้นทุนสูงขึ้น ผู้ผลิตบางรายตัดสินใจหยุดผลิตรายการลงเพราะขาดทุน ขณะที่เจเอสแอลฯได้ตัดสินใจเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ ด้วยการหันมารับจ้างผลิตรายการแทนการเช่าเวลา เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทต่อ

มาปิดท้ายกันด้วยเรื่องของตัวเลขรายได้ของวงการทีวี จากการตรวจสอบข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัทผู้ผลิตคอนเทนต์ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาทิ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ปี 2560 มีรายได้ลดลงเหลือ 424 ล้านบาท ขาดทุน 38.9 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มีรายได้ 547 ล้านบาท กำไร 13.9 ล้านบาท จากปี 2558 ที่มีรายได้ 569 ล้านบาท ขาดทุน 25.5 ล้านบาท หรืออย่างบริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ปี 2560 มีรายได้ 603 ล้านบาท ขาดทุน 95 ล้านบาท จากปี 2559 รายได้ 418.5 ล้านบาท ขาดทุน 113 ล้านบาท ปี 2558 รายได้ 745.7 ล้านบาท กำไร 39.6 ล้านบาท ทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจริงๆ แม้ผู้ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ต่อไปยังจะอยู่ยากมากขึ้น เพราะแพลตฟอร์มทีวีจะย้ายมาแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้นทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น แต่คนที่เหนื่อยหนักงานนี้ก็คือเหล่าผู้ผลิตคอนเทนต์ทั้งหลายที่จะผลิตงานเดิมๆไม่ได้อีกต่อไป ต้องปรับตัวกันแบบวันต่อวันกันเลยทีเดียว นี่คือเทรนด์ใหม่ของการบริโภคสื่อของคนในสังคม ที่เราอาจะเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงชัดขึ้นในปีหน้านี้แน่นอน