ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring ทั้ง 2 ภาคมาแล้ว ก็คงจะเห็นความขนผองสยองเกล้าของความน่าสะพรึงในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาแล้ว โลกของเรามีเหตุการณ์ประหลาดๆและหาคำอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นมากมาย เรื่องลี้ลับ ผีหรือดลกแห่งวิญญาณนั้นไม่ได้มีอยู่ในชนชาติใดชาติหนึ่ง แต่เรื่องของผี วิญญาณและสิ่งลี้ลับนับเป็นสิ่งสากลที่ไม่ว่าชาติไหนก็ล้วนมี แต่อาจจะต่างรูปแบบกันไปเท่านั้น ภาพยนตร์ Hollywood แนวสยองขวัญสั่นประสาทหลายๆเรื่องที่ผ่านสายตาเราไปนั่นคุณจะรู้หรือไม่ว่า ถูกสร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง ความสยองและความผวาเกิดขึ้นจริงๆมาแล้ว จากนั้นเรื่องราวค่อยถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบของหนังอีกที อย่างกับ 4 เรื่องจริงต่อไปนี้ที่เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในบ้าน เป็นเหตุการณ์น่าสะพรึงที่โด่งดังจะกลายเป็นตำนานบ้านสยองไปเลย
1.The ‘Jon Benet Ramsey’ House
ปี 1996 ณ บ้านแรมซีย์ วันนั้นมีแต่ความโกลาหลวุ่นวายและความกลัว ความวิตก เมื่อคุณและคุณนายแรมซีย์พบว่าลูกสาววัย 6 ขวบของพวกเขาหายตัวไป การติดตามหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเกิดขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป 8 ชั่วโมงในที่สุดคุณและคุณนายแรมซีย์ก็แทบใจสลาย เมื่อตำรวจได้พบศพของหนูน้อย Jon Benet Ramsey ที่ชั้นใต้ดินของบ้าน สภาพศพของหนูน้อยดูบอบช้ำมาก หลังจากการชันสูตรตำรวจระบุว่าหนูน้อยถูกตีศีรษะอย่างแรงและถูกรัดคอจนตาย ตำรวจพยายามสูงอยู่นาน มีการไต่สวนอยู่หลายครั้งแต่คดีก็ไม่คืบหน้าไปไหนเลย คดียังคงจบไม่ลงอยู่แบบนั้น
ต่อมาปี 2006 เรื่องราวของบ้านแรมซีย์ กลับมาได้รับความสนใจและถูกกล่าวถึงอีกครั้งเมื่อ มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า จอห์น มาร์ก คาร์ หรืออีกชื่อคือ อเล็กซีส เรค มาถูกตำรวจไทยจับที่สาธร กรุงเทพฯ ในข้อหาใช้เด็กผลิตสื่อลามก จากนั้นก็มีการขยายผลออกไป จนตำรวจทางอเมริกาพบว่าจอห์น มาร์ก คาร์(John Mark Karr)หรือ อเล็กซีส เรค นี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีของบ้านแรมซีย์ เพราะตำรวจอเมริกาได้มีการเช็ค Email ของบุคคลคนนี้และพบว่า เขาเคยเขียน Email ส่งไปถึงอาจารย์คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคโลราโด โดยเนื้อหาใน Email ได้มีข้อความในเชิงสารภาพว่าเขาเป็นผู้ลงมือฆ่าหนูน้อยแรมซีย์วัย 6 ขวบคนนั้น ตำรวจอเมริกาจึงรับตัวไปสอบสวนต่อ แต่พวกเขาก็ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงใดๆ ระหว่าง มาร์ก คาร์ กับบ้านแรมวีย์เลย พวกเขาจึงคิดว่ามาร์ก คาร์ น่าจะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อชื่อเสียงของตนเองเสียมากกว่า คดีจึงยังปิดไม่ลงเหมือนเดิม
โฉมหน้าของ John Mark Karr ขณะที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในประเทศไทย
ในส่วนของบ้านสยองของตระกูลแรมซีย์ ในปี 2004 ได้ถูกซื้อไว้โดย แครอล ชูลเลอร์ มิลเนอร์ ซึ่งในเวลาต่อมาเธอก็จะขายต่อ แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครกล้ามาซื้อต่อบ้านสยองหลังนี้จากเธอเลย
2.The ‘Amityville Horror’ House
112 โอเชียน อะเวนิว คือตำแหน่งพิกัดแห่งบ้านสยองในตำนาน ณ ที่แห่งนี้คือบ้านของครอบครัว DeFeo ที่เคยแสนอบอุ่น แต่แล้ว เมื่อปี 1974 เหตุการณ์สยองก็เกิดขึ้นเมื่อ โรนัลด์ลูกชายคนโตของบ้านหยิบปืนมาลั่นไกสังหารหมู่สมาชิกครอบครัวทั้ง 6 คน เมื่อตำรวจไปจับกุมโรนัลด์ เขาก็ให้การกับตำรวจว่า “เขาไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่รู้เพียงว่าเมื่อเริ่มทำแล้วมันไม่สามารถหยุดได้ ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วมาก” บ้าน DeFeo กลายเป็นบ้านสยองที่ไม่มีใครกล้าไปอยู่มาเป็นปี แต่แล้วหลังเหตุการณ์สยองนี้ผ่านไป 1 ปี 1 เดือน บ้าน DeFeo ถูกรีโนเวทใหม่และก็มีครอบครัว Lutz ย้ายเข้ามาอยู่ แต่สุดท้ายแล้วหลังจากย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนี้ได้เพียง 28 วัน พวกเขาก้รีบเก็บกระเป๋าและข้าวของที่พอจะเก็บได้และย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน เพราะบ้านที่ดูจะอบอุ่นหลังนั้นกลายเป็นบ้านสยองสำหรับพวกเขาไปแล้ว มีเหตุการณ์หลอนๆและสิ่งประหลาดมากมายเกิดขึ้นกับพวกเขา ตำนานของบ้านสยองหลังนี้ถูกนำมาถ่ายทอดในโลกภาพยนตร์มาแล้ว ในเรื่อง The Amityville Horror หรือผีทวงบ้าน ทั้งปี 1979 และ 2005 ด้วย และเรื่องราวของบ้านสยองหลังนี้ยังไปโผล่อยู่ในหนังเรื่อง The Conjuring 2 อยู่นิดๆด้วย
3.The Sowden House
บ้านหลังนี้ถ้าดูเผินๆก็น่าอยู่ไม่น้อย เพราะมีการตกแต่งที่ดูสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ แต่ถ้ารู้ประวัติบ้านที่สวยงามหลังนี้ ความรู้สึกคุณต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ เพราะบ้านสวยแต่สยองหลังนี้คือจุดเริ่มต้นของคดีแบล็คดาห์เลีย หรือ คดีดอกรักเร่สีดำ ที่โด่งดังในอเมริกาและกลายเป็นคดีช็อกโลกในเวลาต่อมา ช่วงปี 1945 – 1951 บ้านหลังนี้เป็นของดร.จอร์จ โฮเดล นายแพทย์ชาว L.A. ซึ่งในตอนแรกเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหญิงสาวผู้มีนามว่าอลิซาเบ็ธ ชอร์ต หรือฉายาของเธอคือแบล็คดาห์เลีย เท่านั้นยังไม่มีใครปักใจเชื่อว่า ดร.จอร์จ โฮเดล จะกลายเป็นฆาตกร แต่คนที่มาเปิดเผยความจริงในเรื่องนี้ก็คือ สตีฟ โฮเดล ลูกชายของดร.จอร์จ ซึ่งสตีฟเป็นอดีตตำรวจ L.A. และทำงานอยู่ในแผนกคดีฆาตกรรม สตีฟได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือ Black Dahlia Avenger ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2003 ว่า พ่อของเขาได้ทำการทรมานและชำแหละศพอลิซาเบ็ธ ชอร์ต ที่บ้านหลังนั้นและเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปี 1947 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็มีการเข้าไปสำรวจบ้าน Sowden อีกครั้ง ตำรวจได้ให้สุนัขตำรวจเข้าไปดมกลิ่นพิสูจน์ว่ามีกลิ่นซากศพอยู่หรือไม่ ซึ่งในเบื้องต้นสุนัขดมกลิ่นแล้วมีปฏิกิริยาแปลกๆ จึงนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบวิเคราะห์แยกชั้นดิน ซึ่งจากการวิเคราะห์นั้นผลที่ได้ออกมาเจ้าหน้าที่ต่างยืนยันว่าบ้านหลังนั้นเคยมีชิ้นส่วนศพถูกฝังอยู่อย่างแน่นอน
4.‘In cold blood’ Murder House
บ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวคลัทเตอร์ผู้มีฐานะ แต่ไม่ทราบว่าใครไปเล่นพิเรนทร์อะไรปล่อยข่าวลือว่าเฮิร์บ คลัทเตอร์ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ทำการซ่อนเงิน 10,000 ดอลลาร์เอาไว้ในบ้าน ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปจะไปเข้าหูชาย 2 คน คือ ริชาร์ด ดิค ฮิคคอร์ค และ แพร์รี่ เอ็ดเวิร์ด สมิธ ชาย 2 คนนี้กำลังต้องการเงินทั้งสองจึงบุกไปปล้นบ้านของครอบครัวคลัทเตอร์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1959 พวกเขาจับกุมครอบครัวคลัทเตอร์ไว้และทำการรื้อค้นทุกซอกทุกมุมของบ้านแต่ทว่าก็ไม่ได้เจอทรัพย์สินดังที่คนเล่าลือกันเลย พวกเขาจึงเดือดดาลและสังหารครอบครัวคลัทเตอร์ 4 ชีวิต พ่อแม่และลูกๆทิ้ง
แต่หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ตำรวจก็รวบตัว 2 โจรให้โหดนี้ได้ และได้มีการพิพากษาโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1965 เรื่องราวนี้ถูกกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาสนใจบ้านสยองหลังนี้อีกครั้งจาก ทรูแมน คาร์โพตี ที่เขาเขียนลงไปในหนังสือ In cold blood ที่มีเรื่องราวของบ้านสยองหลังนี้ พร้อมๆกันนั้นก็มีการเปิดตัวภาพยนตร์ในชื่อเรื่องเดียวกันออกมาด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ได้ใช้บ้างสยองหลังนั้นเป็นโลเกชั่นในการถ่ายทำอีกด้วย มีเสียงลือหนาหูถึงความเฮี้ยนของวิญญาณที่สิงอยู่ในบ้านหลังนั้น มีคนเคยบอกว่าพบเห็น แต่เจ้าของบ้านหลังนี้ในปัจจุบันกลับบอกว่า เรื่องต่างเหลวไหลและไม่เป็นความจริงเลย
ที่มา : 21stcenturywire,dailymail,ladailymirror,house-crazy
ภาพประกอบบางส่วน : atimes,