ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมเศรษฐกิจโลก เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม 2018 (World Economic Forum 2018 )ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เริ่มต้นด้วยการยอดคำหวานเสนอมิตรภาพและความเป็นหุ้นส่วนของอเมริกาต่อโลก แต่ปิดท้ายอย่างกร้าวแกร่งและเผ็ดร้อนว่า  “อเมริกาจะไม่ทนต่อการค้าที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป”

     และแล้ววาทะเด็ดเผ็ดร้อนจากโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ปรากฎขึ้นจริงๆบนเวที WEF 2018 นี่นับเป็นสุนทรพจน์ครั้งแรกของเขาในฐานะประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา บนเวทีการประชุมทางเศรษฐกิจระดับโลก โดยทรัมป์เริ่มต้นกล่าวถึงอเมริกาว่าแม้จะยิ่งใหญ่แต่ใช่ว่าจะต้องอยู่โดดเดี่ยว เพราะหลายๆประเทศเริ่มฟื้นตัวและเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว อเมริกาจึงพร้อมเสมอที่จะเปิดกว้างต่อการทำธุรกิจจากหลายๆประเทศ และหากนักลงทุนประเทศใดสนใจการลงทุนในอเมริกา ก็อาจจะมีมาตรการลดหย่อนในหลายๆด้านให้อย่างมากกว่าที่เคยมีมา

     จากนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ก็เริ่มเรื่องไปสู่วาทะที่แข็งกร้าวตามสไตล์มากขึ้น โดยกล่าวว่า อย่างไรก็ดีแม้สหรัฐอเมริกาจะเปิดกว้างต่อการลงทุนในระดับนานาชาติ แต่อเมริกาก็จะไม่ทนและไม่ยอมรับระบบการค้าที่ไม่เป็นธรรม อีกทั้งจะไม่ขอสนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพราะเราจะไม่สามารถมีการค้าที่เสรีจริงๆได้ หากเรายังยอมรับเรื่องเหล่านี้ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องให้บางประเทศหาประโยชน์ส่วนตนได้จากระบบที่มีช่องโหว่

     และก็ตามที่หลายคนคาดไว้ ทรัมป์ มีการเหน็บประเด็นในคาบสมุทรเกาหลีจริงๆ ซึ่ง ทรัมป์กล่าวว่า เขาภูมิใจที่รัฐบาลภายใต้การควบคุมของเขา สามารถที่จะร่วมมือกับ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และอีกหลายประเทศ ในการทำการกดดันให้มีการปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่คาบสมุทรเกาหลีลงได้ และขณะนี้ยังร่วมกับอีกหลายประเทศในการดำเนินการกดดันให้อิหร่านยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย

     ประเด็นที่เรียกเสียงโฮ่จากผู้ฟังในเวที WEF 2018 กันเกรียวเลยก็คือ การกล่าวหาเชิงตำหนิของทรัมป์ที่มีต่อสื่อมวลชน ในประเด็นที่เขากล่าวว่าสื่อมวลชนมักจะตีข่าวลวงผิดๆเกี่ยวกับตัวเขาอยู่บ่อยครั้ง และยังมีบ่นปนเหน็บว่าสมัยที่เขายังเป็นนักธุรกิจอยู่สื่อมวลชนมักปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่พอเขาเข้ามาทำงานด้านการเมืองสื่อมวลชนกลับเขียนข่าวโจมตีเขา และใส่สีตีไข่ในเรื่องราวของเขามากจนเกินไป ซึ่งนั่นอาจจะทำให้คนมองเขาอย่างเข้าใจผิดได้นั่นเอง

อ้างอิง : cnn