คนไทยหลายคนอาจจะมองว่าเรื่องของต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับประเทศไทย ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับการทำธุรกิจการค้าของไทย แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่างเป็นวงกว้าง และให้ผลที่รุนแรงต่อหลายๆประเทศในด้านธุรกิจการค้ามากกว่าที่เราคิด ท่าทีแข็งกร้าวของโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อจีน ทำให้ธุรกิจหลายๆอย่างโดนลูกหลงไปด้วยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
สหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีสินค้าจีนรวมแล้ว 2.5 แสนล้านเหรียญ หรือครึ่งหนึ่งของการส่งออกของจีนไปอเมริกา ซึ่งมีผลในปลายเดือนกันยายน 2561 และเท่านั้นยังไม่พอโดนัลด์ ทรัมป์ ยังขู่ว่าพร้อมที่จะสั่งเก็บภาษีสินค้าจีนที่เหลือทั้งหมด (อีก 2.67 แสนล้านเหรียญ) ทราบกันเป็นอย่างดีว่า “จีน” คือ ประเทศที่เป็นสุดยอดการค้า เมื่อก่อนเด่นด้านปริมาณ ปัจจุบันด้านคุณภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติไหนอีกแล้ว จีนมีการค้าไปทั่วโลก แต่เมื่อจีนขายของไม่ได้ ทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบ ทั้งเรื่องสินค้าขาดแคลน ทำให้ราคาสินค้าบางอย่างพุ่งสูงขึ้นในตลาดกระทบต้นทุน เมื่อจีนถูกบีบเรื่องภาษี ก็จำเป็นที่จะต้องย้ายฐานการผลิต ย้ายตลาดการส่งออก ประเทศไทยเราเองก็กลายมาเป็นหม้าหมายการย้ายฐานการผลิตของจีน ซึ่งฝ่ายไทยเราเองก็ยังเป็นห่วงว่า จีนมาตั้งโรงงานผลิตมากๆในไทย ใครกันที่จะได้ประโยชน์ เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่จีนจะใช้โอกาสนี้สวมสิทธิ์ทางการค้า ส่งสินค้าของจีนในนามของไทยไปเข้าตลาดสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีที่แพงที่สหรัฐฯพยายามกีดกันสินค้าจีน
ธุรกิจการค้าของโลกในหลายๆอย่าง เริ่มกังวลและเริ่มมองภาพของเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนสะท้อนได้จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเงิน ที่เริ่มมองแนวโน้มเศรษฐกิจในทางลบ แม้ว่าหลายฝ่ายยังคาดหวังว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ และ สี จิ้นผิง อาจจะมีการเจรจากันในช่วงการประชุมผู้นำ 20 ประเทศ (G20) ที่จะมีขึ้นปลายเดือนนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจะเป็นข่าวดี
การที่สหรัฐฯเริ่มใช้มาตรการกำแพงภาษีสุดหินกับจีน หลายคนบอกเลยว่าจะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ แต่จะเป็นโทษอย่างรุนแรงต่อจีน ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนในช่วงปีหน้านี้ มูลค่าการส่งออก-นำเข้าของทั้งสองประเทศจะปรับลดลงเพราะภาษีทำให้ต้นทุนการผลิต และราคาสินค้าในประเทศปรับสูงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเป็นอย่างไรก็อาจจะต้องตามดูกันต่อ แต่ที่แน่ๆทางฝั่งจีนจะชะลอตัวลงแน่นอน ประเด็นนี้ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นกังวล
ผลกระทบที่สำคัญอีกประการ คือ การลงทุน แรงส่งทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ประกอบกับความเสี่ยงที่เกิดจากความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐและจีน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นสูง ซึ่งจะส่งผลให้มีการชะลอการตัดสินใจลงทุน หรือการลงทุนใหม่ๆที่ควรจะเกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากการชะลอการลงทุนแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าบริษัทหลายแห่งคงจะต้องเตรียมรับมือและหาทางหนีทีไล่เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ จากการสำรวจความเห็นของบริษัทสหรัฐที่ลงทุนในจีนเกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีนพบว่า บริษัทสหรัฐในประเทศจีนกว่า 70% มองเรื่องสงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลในทางลบต่อธุรกิจการค้าของพวกเขา อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐขึ้นภาษี คือ รถยนต์ เครื่องจักร และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากการที่จีนขึ้นภาษี คือ เกษตร เคมีภัณฑ์ aerospace เป็นต้น
ความขัดแย้งนี้ดูท่าว่าจะคลีคลายไม่ได้ง่ายๆ คนทำธุรกิจการค้า จึงต้องจับตามองประเด็นนี้กันอย่างใกล้ชิด เพราะต้นทุนสินค้าหลายๆประเภทอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ในปีหน้า และอาจทำให้จีนเข้ามาสวมสิทธิ์ทางการค้าในไทยเราได้