แบรนด์ “วุฒิศักดิ์ คลินิก” รู้จักกันดีว่าเป็นแบรนด์คลินิกเสริมความงามอันดับต้นๆของไทย แต่ใครจะรู้บ้างว่าในระยะหลังๆ 4- 5 ปีที่ผ่านมานี้ แบรนด์ธุรกิจเสริมความงามนี้ต้องเผชิญวิกฤตในองค์กรนานัปการ จนนำไปสู่การปิดตัวสาขาลงมากมาย ในขณะเดียวกันรายได้ที่เคยฟูก็ลดลงอย่างน่าใจหาย วิกฤตทางธุรกิจของแบรนด์คลินิกเสริมความงามแห่งนี้ จะมีทางออกเช่นไร มาเปิดใจกับผู้บริหารไปพร้อมๆกัน

เมื่อกระบวนทัพสับสน ก็ควรเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่

ปีที่ผ่านมาวุฒิศักดิ์ คลินิก มีการเปลี่ยนผู้บริหารครั้งใหญ่ โดย “วิชัย ทองแตง” ได้เข้าถือหุ้นใหญ่ของ “บริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน)” บริษัทแม่วุฒิศักดิ์ คลินิก และได้มีความพยายามที่จะฟื้นแบรนด์วุฒิศักดิ์อีกครั้งหลังธุรกิจอยู่ในสภาพนิ่งมาติดต่อกัน 5 ปี อาการนิ่งทางธุรกิจของ วุฒิศักดิ์ คลินิก นั้นเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งที่องค์กรมีการเปลี่ยนคณะผู้บริหารใหม่อยู่หลายครั้ง จนทำให้การทิศทางขับเคลื่อนธุรกิจสับสนไม่มีความชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่คนปัจจุบันคือคุณวิชัย ทองแตง จึงจำเป็นที่จะต้องหาแม่ทัพคนใหม่ที่มือฉมังขึ้นมาดูแลกระบวนทัพของตนเองให้เข้ารูปเข้ารอย ซึ่งล่าสุดวุฒิศักดิ์ คลินิก ก็ได้แม่ทัพคนใหม่เข้ามาช่วยบริหารนั่นคือ “กวิน สัณฑกุล” อดีต ผู้บริหารระดับสูงในแวดวงค้าปลีก ทั้งเทสโก้ โลตัส และแม็คโคร ซึ่งตอนนี้ขึ้นมานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท วุฒิ-ศักดิ์ ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการและแม่ทัพคนใหม่นี้ก็ประกาศทิศทางการลงทุนครั้งใหม่ ที่วุฒิศักดิ์จะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจ ซึ่งจะมีการขยายออกไปยังหลายๆธุรกิจที่เกี่ยวกับบิวตี้และความงามด้านอื่นๆไม่เฉพาะแค่คลินิกความงามเท่านั้น เพื่อเป็นการปรับสมดุลความเสี่ยงของเรื่องรายได้ธุรกิจ จากรายได้ที่เคยพึ่งพาเพียงขาเดียว ก็จะได้มีโอกาสใหม่ ๆ จากตลาดที่ยังมีช่องว่าง รวมถึงฐานลูกค้าที่กว้างมากขึ้น

สุขภาพและความงามที่คนไทยเข้าถึงได้

วิสัยทัศน์ของคุณวิชัย ทองแตง ผู้ถือหุ้นใหญ่ของวุฒิศักดิ์ คลินิกคนปัจจุบันก็คือ ต้องการให้บริการต่างๆด้านสุขภาพและความงามของวุฒิศักดิ์เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น และเป็นการให้บริการในเรทราคาที่คนไทยจับต้องได้แบบไม่เกินเอื้อม จึงได้มีการประชุมผู้บริหารและดึงเอาพลังภายในจะสายการคอนเนคชั่นที่มีทั้งเครือข่ายของคุณหมอ โรงพยาบาล มาต่อยอดให้กับวุฒิศักดิ์

วุฒิศักดิ์-รามอินทราด้าน กวิน สัณฑกุล CEO ที่มารับหน้าที่ดูแลการบริหารคนล่าสุดเปิดเผยว่า จากนี้ไปแบรนด์ “วุฒิศักดิ์” จะมีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก “คลินิก” ไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่ที่เป็น “Beauty Center” และ “ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง” มากขึ้น เพราะการเป็นคลินิกในปัจจุบัน การแข่งขันสูงมากอีกทั้งปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์เรื่องความปลอดภัยในด้านความงามก็เยอะมากขึ้นทำให้ธุรกิจขยับตัวได้ลำบาก จึงคิดว่าการเบนเข็มออกมาทางธุรกิจความงามแบบใหม่นี้น่าจะดีกว่า คือ ไม่เน้นแค่การทำคลินิกเสริมความงามอย่างเดียว แต่ยังมุ่งขยายไปยังบริการด้านความงามในสาขาอื่นๆซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจสูงกว่า 50% สำหรับงบประมาณในการลงทุนของปี 2562 อยู่ที่ 300 ล้านบาท

เคยเป็นเบอร์หนึ่งด้านคลินิกความงามแต่ก็ยังไม่พ้นวิกฤต

ต้องยอมรับว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาผลจากการเปลี่ยนผู้บริหารหลายครั้งทำให้ธุรกิจของวุฒิศักดิ์อยู่ในสภาพนิ่ง เมื่อธุรกิจไม่มีการดูแลอย่างใกล้ชิดจึงทำให้เกิดวิกฤตภายในองค์กรขึ้น แค่วิกฤตภายในแค่นี้ก็ระส่ำสะสายแล้ว วุฒิศักดิ์ยังต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการแข่งขันในธุรกิจความงามที่สูงขึ้น มีปัญหาเรื่องคุณหมอของทางวุฒิศักดิ์ถูกดึงตัวไปในคลินิกของคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งคุณหมอขอแยกตัวไปเปิดคลินิกเป็นคู่แข่งกับทางวุฒิศักดิ์เองก็มี

ทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลให้สาขาวุฒิศักดิ์ คลินิกที่มีอยู่เดิมต้องปิดตัวลงไปหลายสาขา กระทบกับลูกค้าที่เคยซื้อคอร์สล่วงหน้ากับวุฒิศักดิ์เอาไว้ จึงทำให้กระทบหนักขึ้นไปอีกกับปัญหาความน่าเชื่อถือ ซึ่งปัญหาด้านลูกค้าตรงนี้ดูเหมือนว่าขณะนี้ทางวุฒิศักดิ์กำลังหาทางออกด้วยการพยายามเจรจาและจ่ายค่าเยียวยากับทุกเคสที่มีปัญหา ซึ่งจากการเปิดเผยของทางวุฒิศักดิ์ระบุว่า ลูกค้าของสาขาที่ได้รับผลกระทบตรงนี้มีอยู่ทั้งสิ้น 576 คน คิดเป็จำนวนเงินมูลค่าราวๆ 8 ล้านบาท ส่วนลูกค้าของสาขาที่เป็นแฟรนไชส์มีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าคน จำนวนที่จะต้องเยียวยาลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านบาท

จากวิกฤตสู่ปัญหาสาขาแฟรนไชส์

จากปัญหาการขาดทุน และ การวางแผนธุรกิจที่ยังไม่รัดกุมดีทำให้วุฒิศักดิ์ต้องมีการขอคืนแฟรนไชส์ที่ได้ขายไปแล้ว ทำให้เรื่องนี้เกิดเป็นคดีความต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการของการฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งทางบริษัทแม่ของวุฒิศักดิ์ได้มีการยื่นขอเพิกถอนการขายสิทธิ์แฟรนไชส์ในชั้นศาล เพื่อขอความคุ้มครอง เนื่องจากทางบริษัทแม่มองว่าการขายแฟรนไชส์นั้นทำโดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากนโยบายการขายแฟรนไชส์นั้นได้ทำในช่วงของผู้บริหารชุดก่อนในปี 2560 โดยขายให้กับนักลงทุน 2 ราย รวมเป็น 55 สาขา เหลือเป็นของบริษัทจริง ๆ 65 สาขา และเมื่อไม่มีใครเข้ามาดูแลธุรกิจตรงนี้ต่อ ทำให้ธุรกิจเกิดสุญญากาศการบริหารงานไม่ต่อเนื่องจึงเกิดการขาดทุนและทยอยปิดตัว การมีสาขาแฟรนไชส์วุฒิศักดิ์มากขนาดนี้ทำให้สาขาแฟรนไชส์เข้ามาแข่งขันแย่งลูกค้าแย่งทำเลที่ดีไปจากบริษัทแม่ของวุฒิศักดิ์ไป จำนวนสาขาใกล้เคียงกัน แทนที่บริษัทแม่ของวุฒิศักดิ์ควรจะได้บริเวณที่เป็นทำเลสำคัญไป แต่กลับเป็นสาขาแฟรนไชส์ที่ได้ทำเลที่ดีและไม่มีใครบริหาร จึงทำให้ธุรกิจเจอทางตัน

“เพราะความสวย รอไม่ได้” แต่วันนี้จำเป็นต้องรอดู

วุฒิศักดิ์ คลินิก เคยมีสโลแกนเด็ดที่จำกันติดปากว่า “เพราะความสวย รอไม่ได้” ซึ่งวันนี้ เราจะไม่ได้ยินสโลแกนนี้กันอีกแล้ว เนื่องจากวุฒิศักดิ์จะรีแบรนด์ดิ่ง ปรับโมเดลธุรกิจใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างเมสเสจทางการค้าใหม่ให้สอดคล้องกับรูปแบบที่จะเปลี่ยนไป อีกทั้งหากวุฒิศักดิ์ คลินิกจะกลับมาใช้สโลกแกนนี้อีกครั้งก็ดูเหมือนจะทำไม่ได้ด้วย เนื่องจากอย.ออกกฎควบคุมเรื่องคำต่าง ๆ ที่ใช้ในการโฆษณาเข้มงวดมากขึ้น หากคำไหนที่ดูว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงก็อาจจะต้องมีการแจ้งเตือนกันทันที

แผนธุรกิจเพื่อคืนชีพวุฒิศักดิ์

แม่ทัพคนใหม่ของวุฒิศักดิ์ วางแผนการนำทัพธุรกิจใหม่โดยวางแผนขยาย 5 ธุรกิจในไลน์บริการและสินค้าสุขภาพและความงามอย่างครบวงจรตั้งแต่

1.การบริการศัลยกรรมความงาม ที่จะมีการปรับปรุงอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ให้ตรงใจลูกค้ามากกว่าเดิม

2.การบริการเมดิคัลแฮร์ซาลอน จะเป็นบริการที่มีทั้งการดูแลผมและการทำผม และการจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับเส้นผม

3.การยกระดับวุฒิศักดิ์ การรีโนเวต การย้ายทำเล และการเปิดตัวบริการใหม่ๆ วางเป้าหมายจะเปิดร้านของบริษัทเองให้ครบเป็น 25 สาขาภายใน 3 ปีจากนี้

4. การจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงามหรือคอสเมติกส์ โดยใช้ชื่อว่า Beauty Center โดยจะจำหน่ายสินค้าสุขภาพแบบที่ไม่ต้องมีเภสัชกร การบริการทรีทเมนต์ปกติ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสินค้าจะมีทั้งแบรนด์วุฒิศักดิ์ แบรนด์ของบริษัท และสินค้าจากซัพพลายเออร์ ซึ่งจะเปิดร้าน Beauty Center 5 สาขา และจะเปิดขายแฟรนไชส์ในอนาคต

5.ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร เพื่อให้เกิดทักษะและมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน

ต่อจากนี้ไปก็คงจะต้องจับตาการกลับมาของวุฒิศักดิ์ครั้งนี้ให้ดี เชื่อว่าคงจะมีอะไรดีๆและกลับมาทวงบัลลังก์เจ้าธุรกิจความงามของไทยอีกครั้งในเร็วๆนี้แน่นอน