อีกแค่เดือนกว่าๆก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2019 หลายอย่างเริ่มชะลอตัวเพื่อเริ่มต้นอีกครั้งตอนปีใหม่ หลายอย่างก็เร่งดำเนินงานเพื่อให้ปิดงานกันทันสิ้นปี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่มีอะไรที่จะเขย่าโลกไปกว่าเหตุการณ์สำคัญของแต่ละประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตอีกไม่ช้าไม่นาน อันจะส่งผลโดยต่อการทำธุรกิจและระบบเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเหตุการณ์สำคัญช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีแบบนี้มีอยู่ 5 เหตุการณ์ที่น่าจับตามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
อนาคตของอิหร่าน
วันที่ 5 พ.ย.เป็นวันครบกำหนดมาตรการคว่ำบาตร “อิหร่าน” ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในปี 60 อิหร่านได้มีการทดสอบขีปนาวุธซึ่งเสมือนการท้าทายอำนาจสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์จึงประกาศถอนตัวข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านและประกาศคว่ำบาตรอิหร่านมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 61 โดยวันที่ 5 พ.ย.นี้จะเป็นวันที่สหรัฐฯยกระดับความรุนแรงในการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นคว่ำบาตรครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศขู่ประเทศพันธมิตรอิหร่านด้วยว่า ห้ามร่วมือทางการค้าใดๆกับอิหร่านอีก ไม่อย่างนั้นจะโดนคว่ำบาตรตามไปด้วย ซึ่งมาตรการนี้ส่งผลสะเทือนหนักมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ และอาจนำไปสู่ “สงครามน้ำมัน” มีหลายฝ่ายหลายประเทศขุ่นข้องกับการกระทำครั้งนี้ของสหรัฐฯอย่างมากตั้งแต่พันธมิตรชาติตะวันตกด้วยกัน พันธมิตรในเอเชียอย่างญี่ปุ่น มิตรประเทศอย่างอินเดีย ไปจนถึงคู่แข่งอย่างจีน เนื่องจากประเทศทั้งหมดนี้ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน
เลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
วันที่ 6 พ.ย. จะถึงกำหนดการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งมาได้ครึ่งทาง หรือ 2 ปี โดยจะมีการชิงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง และวุฒิสภา 35 ที่นั่ง ถือเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่มีต่อผลงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะที่โพลล่าสุดของหลายสื่อตะวันตกชี้ว่า มีโอกาสที่พรรคเดโมแครต(พรรคคู่แข่งทรัมป์)จะพลิกกลับมาครองเสียงส่วนมากในสภาล่าง ซึ่งอาจจะช่วยคานอำนาจที่ล้นเหลือของทรัมป์ในขณะนี้ได้ และอาจส่งผลให้นโยบายสุดโต่งหลายๆอย่างของทรัมป์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
Brexit – สหราชอาณาจักรจะออกจาก EU
วันที่ 21 พ.ย.ต้องติดตามผลต่อเนื่องจากการสรุป Brexit หรือการทำประชามติของประชาชนในประเทศสหราชอาณาจักรที่ต้องการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปซึ่งนายโดมินิค แรบ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการการเบร็กซิตของอังกฤษ ระบุว่า การเจรจาระหว่างอียูและยูเค ใกล้จะบรรลุผลสำเร็จแล้ว และคาดว่าจะแถลงผลการเจรจาได้ภายในวันดังกล่าว การที่สหราชอาณาจักรออกจาก EU นั้นจะส่งผลกระทบต่อการค้าและธุรกิจแน่นอน เพราะสินค้าส่งออกจากยุโรปส่วนใหญ่แล้วมาจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจส่งผลให้ตลาดการค้าโลกเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น อัตราคนว่างงานจะมากขึ้น ค่าเงินปอนด์จะมีปัญหา ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปั่นป่วนส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยได้ในหลายๆ ประเทศ
การประชุมระดับโลก “G20”
วันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.นี้ จะถึงกำหนดวาระการประชุมระดับโลก “G20” คือการประชุมเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้ากับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาผู้ส่งออกสินค้าเกษตรนั่นเอง โดยการประชุมครั้งนี้จะจัดขึ้นที่อาร์เจนตินา ความน่าสนใจอยู่ที่มีการคาดการณ์ว่าเวทีประชุมจะชูประเด็นการอ่อนค่าของเงินหยวน ที่สหรัฐอ้างมาตลอดว่ารัฐบาลปักกิ่งเข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อให้ได้ดุลการค้า ขณะที่สัปดาห์ก่อนนี้กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า จีนพยายามติดต่อกับสหรัฐเพื่อจัดการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นอกรอบเวทีการประชุม G20 หากการประชุมได้ผลออกมาเชิงลบ เศรษฐกิจโลกจะผันผวนมากยิ่งขึ้นแน่นอน
อนาคตของเยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ
หลังจากดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนหรือ CDU มาเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก “อังเกลา แมร์เคิล” ของเยอรมนี ประกาศจะก้าวลงจากตำแหน่งประธานพรรค จากที่ครองเก้าอี้หัวหน้าพรรคยาวนานถึง 18 ปี พร้อมจะยุติเส้นทางการเมือง เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สิ่งนี้ทำให้ต้องจับตามองว่าการเมืองของเยอรมนีจะเป็นอย่างไรต่อไปหากขาดนาง อังเกลา แมร์เคิล ซึ่งวันที่ 7-8 ธ.ค.ที่เมืองฮัมบูร์ก จะมีการประชุมสมัชชาของพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน เมื่อกำหนดทิศทางประเทศต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของเยอรมันแน่นอน แต่มากไปกว่านั้นก็คือจะส่งผลกระทบต่อะสหภาพยุโรปโดยรวมด้วย
ทั้งหมดนี้คือ เหตุการณ์สำคัญๆ ของโลกที่จะต้องเฝ้ามองกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรหลังปีใหม่ คนทำธุรกิจจะต้องตามดูให้ดี เพราะบางทีธุรกิจของคุณอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้อยู่อย่างไม่รู้ตัว และอาจได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย