จากปัญหาระบบธนาคารล่มในวันที่ 31 ส.ค. 61 ที่ผ่านมา ความเดือดร้อนกระทบไปทั่วเพราะเป็นช่วงสิ้นเดือนพอดี นำไปสู่การถกปัญหาเพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวของสมาคมธนาคารไทย โดยทางสมาคมได้มีการแนะว่าไม่ว่าจะแก้ด้วยวิธีใดก็ตามจะต้องมีการทดสอบให้แน่ใจที่สุดก่อนใช้จริง

ขณะนี้ทางธนาคารกสิกรไทย (เคแบงก์) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีปัญหาระบบล่มในวันดังกล่าว ได้มีการเข้าหารือในเรื่องแนวทางแก้ไขปัญหาความผิดพลาดของระบบบริการโอนเงินผ่านดิจิทัล เพื่อป้องกันการขัดข้องหรือระบบล่ม โดย นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดเผยว่า การประชุมหารือครั้งนี้เป็นการประชุมร่วมกันของผู้บริหารระดับสูง ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของทุกธนาคาร (CIO) ที่เป็นสมาชิกของสมาคมธนาคารไทย ผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (ITMX) ทั้งหมด จะมีการวางแนวทางปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก รวมถึงเพิ่มความสามารถในการรองรับการทำธุรกรรมช่วงพีกให้สูงถึง 4 เท่าด้วย

ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 61 ที่ผ่านมา ทางธนาคารกสิกรไทยก็ได้ออกมาชี้แจงว่า เหตุการณืที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่ระบบ แต่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ที่ดูแล และส่งผลทำให้เกิดการรวนของระบบภายใน (network) ฉะนั้น ทางธนาคารยังขอย้ำว่าระบบยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้เหมือนเดิม

ในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ทางธนาคารกสิกรไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า การแก้ไขปัญหามี 2 ส่วน ได้แก่ การกำหนดกฎเกณฑ์การปฏิบัติงานชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการทำระบบหรือโปรแกรมต่างๆตั้งแต่ระดับภายในธนาคาร ระหว่างธนาคารด้วยกัน และบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (ITMX) ซึ่งจะต้องเน้นย้ำให้พนักงานปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และการทดสอบระบบก่อนใช้งานจริง เพื่อป้องกันความผิดพลาด

นอกจากนี้ ในปัจจุบันการทำธุรกรรมที่มีจำนวนมากขึ้นกว่า 1,000 รายการต่อวินาที โดยเฉพาะในทุกวันที่ 16 และช่วงสิ้นเดือนที่จะมีการทำธุรกรรมมากกว่าช่วงปกติประมาณ 10 เท่า ซึ่งแต่ละธนาคารได้เตรียมความสามารถในการรองรับปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มไปอีกราว 4 เท่าของช่วงที่มีปริมาณการทำธุรกรรมสูงสุด ส่วนประเด็นการขยายวงเงินการโอนเงินพร้อมเพย์สูง 7 แสนบาท/ครั้ง ทางสมาคมธนาคารเตรียมขอหารือกับ ธปท.เรื่องค่าธรรมเนียมและประเภทของการขยายวงเงินให้ชัดเจน เช่น บุคคล หรือนิติบุคคล เนื่องจากตอนนี้อาจจะมีความเห็นที่ต่างกันของแต่ละฝ่าย อีกทั้งการขยายวงเงินโอนผ่านพร้อมเพย์จะต้องพัฒนาระบบให้รองรับความสามารถในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นอีกด้วย