ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นมาผู้ประกอบการไทยเจ็บกันเป็นแถวๆ เนื่องจากสหรัฐฯสั่งตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กับสินค้านำเข้าจาก 15 ประเทศ และไทยคือหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งโดนไปถึง 11 รายการ โดยทางสหรัฐฯอ้างว่าสินค้าเหล่านั้นมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50%

สหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศผลการพิจารณาโครงการทบทวนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ซึ่งในปีล่าสุดนี้ได้ทำการตัดสิทธิ GSP สินค้าจาก 15 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนติน่า เบลิซ บอสเนีย บราซิล เอกวาดอร์ อียิปต์ ฟอล์กแลนด์ อินโดนีเซีย คาซัคสถาน ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สุรินัม ตุรกี อินเดีย และไทย เนื่องจากมีการนำเข้าไปยังสหรัฐฯ เกินมูลค่า หรือ เกินส่วนแบ่งตลาด (180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ/หรือ 50%) ตามเกณฑ์ว่าด้วยความจำเป็นด้านการแข่งขัน (Competitive Need Limit : CNLs) ที่สหรัฐฯ กำหนดให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มหวั่นวิตกกันมากขึ้น

สำหรับสินค้าที่ถูกตัดสิทธิ GSP รวมทั้งสิ้น 11 รายการ มีมูลค่าเท่ากับ 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 1.11% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งสินค้าดังกล่าว ประกอบด้วย

1.ดอกกล้วยไม้สด

2.ทุเรียนสด

3.มะละกอตากแห้ง

4.มะขามตากแห้ง

5.ข้าวโพดปรุงแต่ง

6.ผลไม้/ถั่วแช่อิ่ม

7.มะละกอแปรรูป

8.แผ่นไม้ปูพื้น

9.เครื่องพิมพ์

10.เครื่องซักผ้า

11.ขาตั้งกล้องถ่ายรูป

ทั้งนี้ที่ผ่านมาในปี 2560 สหรัฐฯ ได้ให้สิทธิ GSP แก่ไทยครอบคลุมสินค้ากว่า 3,400 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,150.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตราการใช้สิทธิ 69.98% ซึ่งการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีครั้งนี้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการไทยอย่างแน่นอน ในตอนนี้รัฐบาลไทยสามารถยื่นคำร้องขอคืนสิทธิระหว่างการพิจารณาทบทวนรายการสินค้าประจำปี ในกรณีการนำเข้าสินค้านั้นของปีต่อไปจะต้องมีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ CNLs ที่กำหนด

หากมองในอีกด้านหนึ่งที่เป็นบวก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าไทยที่มีคุณภาพมาก ถึงขนาดเข้าตีตลาดสหรัฐฯได้และได้รับความนิยมมากจนถึงขั้นกินส่วนแบ่งตลาดไปมากกว่า 50% แต่อย่างไรก็ดีแม้สินค้าจะมีคุณภาพดี แต่ถ้าจะต้องทำการส่งออกในอัตราภาษีที่แพงก็คงจะได้ไม่คุ้มเสีย เห็นทีไทยเราคงจะต้องมองหาช่องทางกระจายสินค้าไปด้านอื่นๆบ้างแล้ว