160324233315-on-china-economy-by-the-numbers-00002517-full-169

     สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจแทบทุกอย่างปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจโลกในขณะนี้ค่อนข้างเสี่ยงในหลายๆ ด้าน นักลงทุนและคนทำธุรกิจจึงต้องพึงระวัง

     ตั้งแต่วันศุกร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เปิดเกมปะทะสงครามการค้ากับจีนอย่างซึ่งๆ หน้ามากขึ้นด้วยการประกาศบังคับใช้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 25% รวมมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งท่าทีของฝ่ายจีนก็ไม่อ่อนข้อและขอตอบโต้ด้วยกระบวนยุทธเดียวกันคือตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯทันที เรียกว่าครั้งนี้สงครามการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสองยกระดับความเข้มข้นขึ้นไปอีก ซึ่งมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯจะตั้งกำแพงภาษีกับจีนสูงขึ้นไปอีก

     หากมาดูสินค้าจีนที่อยู่ในกลุ่มจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นรอบแรก 25% จากสหรัฐฯก็ครอบคลุม 818 ประเภทสินค้า มีตั้งแต่สินค้าสำหรับการทำเกษตรเรื่อยไปจนถึงขนาดสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ในยานอวกาศ ซึ่งตรงนี้นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีเจาะจงโดยตรงที่สินค้าจีน หลังจากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้กล่าวหาจีนมีพฤติกรรมการค้าไม่เป็นธรรม ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างหนักถึง 335,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งยังกล่าวหาจีนว่าเป็นชาติที่ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐฯมาเนิ่นนาน งานนี้ทางฝ่ายจีนก็โต้กลับทันทีด้วยการเตรียมเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในมูลค่าไม่น้อยไปกว่ากัน ครอบคลุมสินค้าที่มีความสำคัญต่อกลุ่มฐานเสียงของรัฐบาลสหรัฐฯ อาทิ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง เนื้อสุกร เนื้อโค เนื้อไก่ ปลา นม รวมทั้งรถยนต์ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการยั่วยุให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

     นักวิเคราะห์ ให้ความเห็นว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสองชาติยักษ์ใหญ่นี้ที่ส่อแววที่จะบานปลาย และเป็นสาเหตุให้ภาวะเศรษฐกิจโลกเกิดความผันผวนส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจหลายด้านแน่นอน ซึ่งต้นทุนของทุกสิ่งทุกอย่างจะปรับตัวสูงขึ้น ฉะนั้น ถ้าเรื่องนี้ยังไม่มีทางออกในเร็ววัน ความขัดแย้งก็จะยิ่งบานปลายและเพิ่มแรงกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง การเปิดศึกการค้าจากกรณีการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม ทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ อย่าง สหภาพยุโรป (อียู) แคนาดา และเม็กซิโก พากันงัดมาตรการทางภาษีมาตอบโต้สหรัฐฯ และกำลังลุกลามไปสู่การขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ที่จะสร้างผลกระทบเสียหายแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ เอง อย่าง ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์หรู เมื่อถูกอียูเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ก็จำเป็นต้องโยกย้ายการผลิตออกไปสู่โรงงานที่อยู่นอกสหรัฐฯ มากขึ้น นับเป็นผลลัพธ์ที่สวนทางกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการดึงทุนอเมริกันกลับประเทศ

     ทางฝ่ายจีนเองเพื่อมองไปก็จะพบว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จีนเองก็ป่วนเหมือนกัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จีนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตกอยู่ในทิศทางปรับดิ่งลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และไม่มั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลจีนในการแก้ไขปัญหาหนี้ท่วมและการรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ

      เมื่อยักษ์ตีกันแบบนี้ผลกระทบและแรงสะเทือนจึงส่งไปทั่วโลก นักลงทุนและนักธุรกิจไทยเองก็จะต้องระวังและจับตาสถานการณ์นี้ให้ดี ยิ่งใครที่ลงทุนทำการค้ากับจีนในช่วงนี้ยิ่งต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ เพราะของจีนตอนนี้ต้นทุนสูงขึ้นแน่นอน