นับเป็นข่าวใหญ่ที่สำคัญรับวันหยุดสงกรานต์กันเลยทีเดียว สำหรับการทิ้งระเบิดถล่มซีเรียของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอย่างอังกฤษกับฝรั่งเศส สื่อหลายสำนักรวมถึงนักวิเคราะห์มืออาชีพทางด้านการต่างประเทศชี้ว่าอาจเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ก็มีบางความเห็นมั่นใจว่าเหตุการณ์คงไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่มีทั้งชาติที่เห็นด้วยและไม่เห้นด้วย และด้านสหประชาชาติเองก็ “ไม่ประณาม” การถล่มซีเรียของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในครั้งนี้ด้วย
จุดเริ่มต้น
14 เม.ย. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอย่างอังกฤษกับฝรั่งเศส จับมือผสานกำลังให้สหรัฐฯส่งฝูงบินทิ้งระเบิดเข้าไปโจมตีแหล่งที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งผลิตและกักเก็บอาวุธเคมีของซีเรีย เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 4-7 เม.ย.ที่ผ่านมา ในซีเรียภายใต้การนำของนายบาชาร์ อัล อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียเกิดเหตุการณ์โจมตีที่เมืองโกตาของซีเรีย ซึ่งคาดกันว่าเป็นการโจมตีกลุ่มฝ่ายตรงข้ามด้วยแก๊สพิษทำให้พลเรือนเสียชีวิตประมาณ 200 ราย กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ทราบข่าวจึงอ้างว่าซีเรียและรัสเซียใช้อาวุธเคมียิงใส่กลุ่มกบฏในเมืองโกตาโดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ติดอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯจึงประกาศกร้าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางซีเรียและรัสเซียต้องรับผิดชอบ
การปฏิบัติการ
หลังจากนั้นก็นำไปสู่การประชุมระหว่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และได้เกิดการทิ้งระเบิดขีปนาวุธใส่ซีเรียในหลายๆจุด รวมถึงคลังอาวุธของกองทัพซีเรียในเมืองฮอม และโรงงานผลิตสารเคมีไม่ไกลจากกรุงดามัสกัส ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นต้นตอการผลิตอาวุธเคมีให้แก่รัฐบาลซีเรีย ซึ่งนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์สนับสนุนการโจมตีซีเรียร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และฝรั่งเศส โดยระบุว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยป้องกันและลดโอกาสของกองทัพซีเรียในการใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน
ข่าวจริงและข่าวลวง
A perfectly executed strike last night. Thank you to France and the United Kingdom for their wisdom and the power of their fine Military. Could not have had a better result. Mission Accomplished!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) April 14, 2018
หลังจากการทิ้งระเบิด ก็มีรายงานข่าวที่สับสนออกมา ซึ่งทางสหรัฐฯแจ้งว่า ได้ทำการทิ้งระเบิดขีปนาวุธไปทั้งหมด 103 ลูก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภายหลังออกคำสั่งโจมตีทางอากาศโรงงานเคมีและคลังอาวุธของรัฐบาลซีเรียผ่านทางทวิตเตอร์ โดยใช้คำว่า “ภารกิจลุล่วง” การทิ้งระเบิดลงสู่เป้าหมายอย่างเฉียบขาดแม่นยำทุกลูก แต่รัฐบาลรัสเซียกลับแถลงว่า สิ่งที่สหรัฐฯออกมาแจ้งนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อรักษาหน้าตัวเอง เพราะกองทัพรัสเซียซึ่งประจำการในซีเรียสามารถยิงสกัดขีปนาวุธสหรัฐฯ ได้ 71 ลูก นั่นหมายความว่าขีปนาวุธส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ไร้ประสิทธิภาพและถูกสกัดไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งทางรัสเซียยังย้ำว่ารัสเซียจะไม่นิ่งเฉยหากสหรัฐฯ ก่อเหตุโจมตีรอบใหม่
นี่คือสงครามตัวแทนใช่หรือไม่
หลังจากสงครามเย็นสงบไปนาน การยิงขีปนาวุธใส่ซีเรียครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นชนวนเหตุประทุสงครามเย็น ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียขึ้นมาอีกครั้ง แต่การเผชิญหน้ากันในสงครามครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรงของ 2 มหาอำนาจ ดูไปคล้ายๆสงครามเวียดนาม จึงทำให้มีนักวิเคราะห์บางคนเอ่ยคำว่า “สงครามตัวแทน” ขึ้นมาอีกครั้ง สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นกลุ่มที่ 1 และ ซีเรีย รัสเซีย อิหร่าน จีน เป็นกลุ่มที่ 2 ซีเรียนั้นเป็นเสมือนตัวแทนของชนวนเหตุ และเป็นตัวแทนของประเด็นสงครามระหว่างทั้งสองกลุ่ม ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์สงครามตัวแทนนี้น่าจะดำเนินต่อไปแบบนี้อีกนาน
แนวโน้มสงครามโลกครั้งที่ 3
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีสื่อชื่อดังและนักวิเคราะห์ การเมืองระหว่างประเทศจากหลายแห่งต่างวิเคราะห์เหตุการณ์กันไปต่างๆนานา แต่ประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงมากที่สุดคือ นี่จะเป็นชนวนของ “สงครามโลกครั้งที่ 3” หรือไม่
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ (SCMP) สื่อชื่อดังของฮ่องกง ได้มีบทวิเคราะห์ว่า การโจมตีซีเรียเป็นการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 โดยระบุว่านายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้นำที่วู่วามและตัดสินใจดำเนินนโยบายต่างๆ โดยไม่ค่อยฟังคำแนะนำของที่ปรึกษาในรัฐบาล จึงมีแนวโน้มว่าเขาจะออกคำสั่งครั้งใหม่โดยไม่คำนึงถึงผลที่อาจจะตามมา ขณะที่นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียเองก็ไม่เบาเหมือนกัน เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการใช้กำลังทหารแทรกแซงซีเรีย และมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันบทบาทของรัสเซียในการเป็นผู้ยึดกุมอำนาจในตะวันออกกลางแทนสหรัฐฯ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ารัสเซียจะตอบโต้ประเทศพันธมิตร 3 ชาติที่ยืนกรานว่าจะโจมตีซีเรียอีกครั้งหากมีการใช้อาวุธเคมีเกิดขึ้น และนั่นน่าจะเป็นก่ก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางก็ได้ชี้ประเด็นนี้ในมุมที่ต่างออกไป โดยเขาระบุว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่เกิดขึ้นแน่” เพราะแม้ความสัมพันธ์สหรัฐฯกับรัสเซียจะไม่สู้ดีนัก แต่อย่าลืมว่าสหรัฐฯเองก็ได้มีการลงนามให้ความร่วมมือในการต่อต้านทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายกับทางรัสเซียอยู่ และการโจมตีซีเรียที่เกิดขึ้นนั้น ทางสหรัฐฯไม่มีการปล่อยฝูงบินเข้าไปรุกล้ำน่านฟ้าของทางซีเรีย ที่รัสเซียดูแลอยู่แม้แต่จุดเดียว และ หากสหรัฐฯต้องการจะทำให้สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นจริง โดนัลด์ ทรัมป์คงไม่มีการทวีตข้อความใดๆแน่นอน เพราะทุกอย่างคงจะเก็บเงียบเป็นความลับเพื่อเป็นการชิงแต้มต่อ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว
ไทยเราต้องเฝ้ามองอะไรจากสถานการณ์นี้
จากเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดและแน่นอนได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะสถานการณ์นี้จะต้องติดตามกันต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ในลักษณะนี้มีโอกาสที่จะพัฒนาการกลายเป็นสงครามโลกขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และทุกครั้งทุกที่ ทุกสมรภูมิที่เกิดขึ้นนั้นย่อมนำไปสู่ “หายนะทางเศรษฐกิจ” เอเชียเราได้รับผลกระทบแน่ๆ ไม่มากก็น้อย เพราะหนึ่งในผู้สนับสนุนรัสเซียก็คือจีน อีกทั้งยังมีอิหร่านอีกหนึ่งประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง ฉะนั้น เอเชียอย่างไรก็ต้องถูกบีบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ให้ต้องเลือกข้างในสงครามแบบนี้ และเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างนานาประเทศแบบนี้ ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศแน่นอน และเมื่อนั้นไทยเราเองก็คงจะไม่รอดวิกฤตไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าในตอนนี้เราจะแสดงจุดยืนว่า “เป็นกลาง” แต่อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ ตอนนี้อาจจะยังดูแล้วไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ให้คอยเฝ้าจับตาเรื่องของการลงทุนเอาไว้ หุ้น และทองคำ ราคาจะพุ่ง แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็จะส่งสัญญาณบอกว่ากระเทือนอยู่เหมือนกัน เรื่องการส่งออกก็อาจถูกกระทบด้วย ราคาน้ำมันกระต้องมีการปรับตัวเพราะซีเรียคือหนึ่งประเทศผลิตน้ำมันรายใหญ่ และยังเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวอีกถ้าเกิดสงคราม ทุกอย่างจะแย่ไปหมด ดังนั้นคนไทยเราอย่าเพิ่งมองว่า มันไกลตัว ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่จำเป็นต้องวิตก แต่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ ใครที่สนใจการลงทุนควรจะติดตามเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิด จะได้พลิกตัวเองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้ทัน
อ้างอิง : washingtonpost, aljazeera, scmp, bbc