คิดว่าทุกคนคงได้เห็นคลิปวิดีโอจากต่างประเทศในทำนองนี้กันบ่อยๆ ก้มหน้าก้มตาใช้มือถือกันจนไม่สนใจใจใครแม้กระทั่งตัวเอง และในที่สุดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น ในหลายๆประเทศจึงเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับเทรนด์ “สังคมก้มหน้า” แล้วประเทศไทยเราล่ะ ถึงเวลาที่จะตระหนักถึงปัญหานี้กันแล้วหรือยัง
มีคนบอกว่าถ้าอยากรู้ว่า คนกรุงเทพฯมีนิสัยยังไง เขาบอกว่าให้ลองไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS แล้วคุณจะเห็นภาพที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ เพราะสิ่งที่คุณจะได้เห็นคือ “สังคมก้มหน้า” อย่างแท้จริง ทุกคนหลังจากเข้าไปในตัวรถไฟฟ้าแล้ว ทุกคนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา และ ง่วนก้มหน้ามองมันอยู่แบบนั้น บางคนแชท บางคนเสพ Facebook บางคนดูข่าว บางคนฟังเพลงดูคลิปวิดีโอ บางคนคุยกับเพื่อน แทบไม่มีใครสนใจใครต่างคนต่างมีโลกของตัวเอง แต่นั่นก็ยังไม่เป็นไรถ้ามันไม่กระทบกระเทือนก่อความรำคาญให้ใคร
ปัจจุบันคนไทยใช้สื่อออนไลน์กันมากเป็นอันดับต้นๆของโลก มากกว่าสหรัฐอเมริกาเสียอีก อันตรายที่เกิดจากการใช้มือถือไปด้วยเดินไปด้วยทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้งในหลายๆประเทศ และเชื่อว่าในประเทศไทยเราเองก็คงจะมี แต่ยังไม่มีการสำรวจและรวบรวมสถิติกันอย่างเป็นทางการ เราจึงไม่รู้ว่าผลกระทบจาก “สังคมก้มหน้า” ในประเทศไทยเรานั้นแท้ที่จริงเป็นอย่างไรแน่ แต่ก่อนหน้านี้ เราคงพอจะสัมผัสกันแล้วถึงอบัติเหตุบนท้องถนน หรือความแล้งน้ำใจในการขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆบนท้องถนน ส่วนหนึ่งมาจากการเสียสมาธิเพราะมัวแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ บางรายถึงกับรถชน รถคว่ำปางตายไปเพราะเหตุนี้ก็มี แต่บ้านเราปัดให้เป็นเรื่องของอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเสียทั้งหมด ไม่ได้มีการบันทึกสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุในทำนองนี้สักเท่าไหร่ เราจึงยังรู้สึกว่าเมืองไทยเราได้รับผลกระทบจากสังคมก้มหน้าน้อยอยู่
แต่สำหรับที่ต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ช่างบันทึกและช่างจดจำ ได้มีการเก็บสถิติพฤติกรรมการใช้มือถือพลางเดินแชทไปพลางเอาไว้ด้วย จากการศึกษาในปี 2013 พบว่ามีผู้ป่วยกว่า 1,500 คนที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากการใช้มือถือขณะเดิน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนไข้ที่ขับรถโดยขาดสมาธิ ในบรรดาผู้ป่วยเหล่านี้แบ่งเป็นได้รับบาดเจ็บขณะส่งข้อความ 9.1% และ 69.5% ได้รับบาดเจ็บระหว่างการพูดคุยสนทนาโทรศัพท์ ตัวเลขนี้ยังไม่ได้มีการรวมผู้ที่ประสบเหตุแต่ไม่ได้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล และคนที่ประสบเหตุถึงขั้นเสียชีวิตลงไปด้วย ซึ่งถ้ารวมลงไปด้วยคาดว่าตัวเลขจะมีมากกว่าเดิมหลายเท่า
25 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา ณ เมืองฮอนโนลูลู นับเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่ผ่านกฎหมายห้ามไม่ให้คนส่งข้อความ แชท หรือก้มหน้าก้มตาอ่านมือถือหรืออุปกรณ์ไอทีอย่างอื่นขณะกำลังเดิน หลังจากนั้นก็มีเมืองใหญ่เมืองอื่นในสหรัฐเริ่มทำตาม แต่ใช่ว่าการออกกฎหมายในลักษณะนี้เมืองทุกเมืองในสหรัฐจะเห็นดีเห็นงามด้วย มีบางเมืองที่กฎหมายนี้ตกไปเพราะด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนให้มีกฎหมายนี้ก็ออกมากล่าวเปรียบเทียบว่า กรณีเมาแล้วขับที่มีอัตราลดลงนั้น ก็เป็นเพราะมีกฎหมายบังคับอย่างเอาจริงเอาจังใช่หรือไม่ ความปลอดของการใช้รถใช้ถนนมีมากขึ้น เพราะเรามีกฎหมายบังคับให้ใช้เข็มขัดนิรภัย ใช่หรือไม่ กฎหมายเหล่านี้ออกมาไม่เห็นมีใครบอกว่าเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชนแต่อย่างใดเลย ทำไปทำมาจนการพฤติกรรมที่ผู้คนทำกันจนชินไปแล้ว
นั่นจึงนำไปสู่คำถามต้นเรื่องที่ว่า แล้วเมืองไทยล่ะควรจะมีกฎหมายเกี่ยวกับสังคมก้มหน้าบ้างหรือยัง เพราะประเทศเราเองก็ถือว่าเป็นประเทศที่ก้มหน้าก้มตาใช้มือถือเป็นอันดับต้นๆของโลกเหมือนกันนะ