เวลาเปลี่ยนอาจทำให้ใจคนเปลี่ยนได้เช่นกัน ล่าสุด Amnesty International องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลกได้ขอทำการริบรางวัลเกียรติสูงสุดขององค์กรคืนจากนางอองซาน ซูจี เพราะเธอไม่แสดงให้เห็นว่าเธอยึดอุดมการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนเหมือนที่เคยทำมา เพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิชาวโรฮีนจาโดยกองทัพเมียนมา
นายคูมี ไนดู เลขาธิการ Amnesty International องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากลออกแถลงการณ์ริบรางวัลทูตแห่งมโนธรรม รางวัลเกียรติยศสูงสุดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคืนจากนางอองซาน ซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐของเมียนมา ซึ่งเคยได้รับรางวัลดังกล่าวในปี 2552 โดยมีการชี้แจงเหตุผลว่านางซูจีทรยศค่านิยมที่เธอเคยต่อสู้เคียงข้างกันมา
นายไนดูระบุว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่นางซูจีไม่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความกล้าหาญ และการปกป้องสิทธิมนุษยชนได้อีกต่อไป แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลไม่สามารถสร้างความชอบธรรมให้นางซูจีอยู่ในสถานะผู้รับรางวัลเกียรติยศนี้ได้ เนื่องจากเธอไม่ยอมใช้อำนาจทางการเมืองและศีลธรรมในการปกป้องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศของเธอได้
อย่างที่ทราบกันความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์และ ชาวโรฮีนจาเริ่มยกระดับความรุนแรงอีกครั้งเมื่อตอนเดือนส.ค. 2560 ที่รัฐยะไข่ ชาวโรฮีนจาถูกสังหารหมู่ และมีคนต้องลี้ภัยออกจากพื้นที่ไปยังบังกลาเทศมากกว่า 700,000 คน ส่งผลให้ให้ค่ายผู้ลี้ภัยคอกซ์บาซาร์ของบังกลาเทศเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สหประชาชาติเพิ่งออกรายงานการค้นหาความจริงเรื่องสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งสรุปว่า การปราบปรามชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม เช่นเดียวกับสถานการณ์การสู้รบกับกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่น อีกทั้งยังเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ พร้อมเรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเมียนมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาเหล่านี้สหประชาชาติมองว่านางอองซาน ซูจี มีอำนาจที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเพื่อลดความโหดร้ายรุนแรงลงไปได้ แต่นางอองซาน ซูจีกลับเพิกเฉยเลือกที่จะมองข้ามการกดขี่รุนแรงและอาชญากรมต่อมนุษยชาติของกองทัพต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งยังปกป้องกองทัพจากการวิพากษ์วิจารณ์และการตรวจสอบจากนานาชาติ จึงทำให้ทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต้องออกประกาศริบรางวัลอันทรงเกียรตินี้คืนจากนางอองซาน ซูจี อุดมการณ์เพื่อมนุษยชนของนางซูจีจะมีเหลืออยู่หรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ ก็คงต้องให้กาลเวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์