สร้างความปั่นป่วนปวดหัวไม่หยุดจริงๆ สำหรับประธานาธิบดีฝีปากกล้าแห่งสหรัฐอเมริกาอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หลังกลางสัปดาห์ที่แล้วได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่อง อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ในปัจจุบันของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าทรัมป์อาจจะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ ซึ่งจะอาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทุกราย
สัปดาห์ที่ผ่านมาโดนัลด์ ทรัมป์ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความมั่นคงของชาติด้านการนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกจากต่างชาติขึ้นมา เพื่อให้ไปทำการศึกษาเรื่องอัตราภาษีศุลกากรการนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ว่าด้วยอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ปัจจุบันนั้นเป็นธรรมต่อสหรัฐฯหรือไม่ เรื่องนี้ไวเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ได้มีการกล่าวว่า เป็นเวลาหลายทศษวรรษแล้วที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของต่างชาติได้กัดกร่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ในตอนนี้จึงน่าจะได้เวลาที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้ดีต่อสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น
จากเหตุดังกล่าวทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า อีกไม่ช้าทรัมป์น่าจะมีคำสั่งให้พิจารณาเรื่องการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ในสหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากมีการปรับขึ้นจริง เรื่องนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมผู้ผลอตรถยนต์รถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทผลิตรถยนต์ในเม็กซิโก เพราะเม็กซิโกเป็นต้นทางในการส่งออกรถยนต์ค่ายต่างๆเข้ายังสหรัฐฯ เม็กซิโกอยู่ภายในสนธิสัญญาการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ร่วมกับสหรัฐ และแคนาดา ทำให้ปลอดภาษีอากรนำเข้ารถยนต์ในสหรัฐ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั่วทุกมุมโลก ต่างไปตั้งฐานผลิตในเม็กซิโก ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ฯลฯ ที่ยึดสหรัฐเป็นตลาดสำคัญรวมถึงค่ายรถอื่น ที่ไม่มีฐานผลิตในอเมริกา อย่างเช่น มาสด้า, ทาทามอเตอร์ส (เฉพาะจากัวร์ แลนด์โรเวอร์) และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
หากมาพิจารณาเรื่องตัวเลขมูลค่าการนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯนั้นก็จะพบว่าเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมาก ตัวเลขนำเข้ารถยนต์จากเม็กซโกมีมูลค่าสูงถึง 46,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยแคนาดา 42,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่น 39,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เยอรมนี 20,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 15,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันอัตราภาษีศุลกากรรถยนต์ของสหรัฐอยู่ที่ 2.5%รถบรรทุก 25% และรถมอเตอร์ไซค์มี 2 อัตรา คือ 3% และ 3.4% ลองคิดเล่นๆดูว่าถ้าสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์มาเป็นเฉลี่ยสัก 4 % สหรัฐฯจะมีเงินรายได้ขนาดไหน และ ถ้าดูจากตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์แต่ละประเทศแล้ว ก็แทบจะเรียกได้ว่าสหรัฐฯขูดเลือดจากภาษีรถยนต์เลยก็ว่าได้
แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ รัฐบาลญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ประกาศจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะจีนที่เป็นคู่ปรับทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่พร้อมจะหนุนค่ายรถยนต์ต่างๆเพื่อไปตีตลาดสหรัฐ และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คนอเมริกันเองใช่ว่าจะเห็นด้วยทั้งหมดกลุ่มอุตสาหกรรมในสหรัฐทั้งด้านการผลิตและดีลเลอร์วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้ว่า การมองว่าการนำเข้ารถยนต์ เป็นราวกับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ไม่ต่างอะไรกับสร้างหายนะให้ชาติตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ผลกระทบจะไปตกกับผู้บริโภคอเมริกัน ดีลเลอร์ และลูกจ้างของบรรดาดีลเลอร์ต่างๆ ที่สำคัญตอนนี้ไม่ได้มีใครออกมาเรียกร้องให้โดนัลด์ ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์สักคน สิ่งที่ทรัมป์กำลังจะทำน่าจะส่งผลเสียต่อสหรัฐมากกว่าผลดี เพราะจะทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกรถยนต์และรถบรรทุกน้อยลง แต่ราคากลับสูงขึ้น
อ้างอิง : politico