เชื่อว่าในระยะ 1 – 2 ปีมานี้ เราน่าจะได้ยินคำว่า ‘Blockchain’ (บล็อกเชน) กันหนาหูมากยิ่งขึ้น และคำๆนี้รู้สึกว่าจะมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงไปยังหลายๆวงการ ทั่งธุรกิจ การเงิน ไอทีและอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงวงการที่ดูจะข้องเกี่ยวมากที่สุดก็คือ Cryptocurrency หรือวงการการเงินดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า Blockchain คือเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนในโลก เหมือน www. แต่จะใช่หรือไม่ แล้ว Blockchain คืออะไรแน่ เราจะพาทุกท่านไปหาคำตอบกัน
Blockchain เทคโนโลยีใหม่ไร้คนกลาง
Blockchain ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่หรือ New Internet ที่จะมาปฏิวัติทุกๆวงการที่ต้องทำงานผ่านตัวกลาง ในโลกของเราทั้งในปัจจุบันและย้อนกลับไปหลายสิบปี ระบบการจัดการสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสาร ธุรกิจ การงาน การท่องเที่ยว การเดินทางข้ามประเทศ การเงินและการธนาคาร ฯลฯ จะต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม หรือตัวกลาง (centralized trusted party) เช่น ทำธุรกิจการค้าข้ามประเทศก็ต้องมีพ่อค้าคนกลาง การฝากเงินโอนเงินก็ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลาง จะซื้อสินค้าออนไลน์เราก็จะต้องมีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อเชื่อมต่อการซื้อขายอย่าง PayPal เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะต้องมีบุคคลที่สามหรือตัวกลางเข้ามาเป็นที่พึ่งให้กับเราในการทำสิ่งต่าง ๆทั้งจัดการทรัพย์สินและข้อมูลอยู่เสมอ และบุคคลที่สามหรือตัวกลางนี้ก็มักจะเป็นองค์กรหรือบริษัทที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมอย่างพวกเรา คือ พวกเราทุกคนต่างให้อำนาจและมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขาเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้กับเราในเรื่องต่างๆ แต่ระบบตัวกลางนี่เองแม้จะมีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียอยู่ในตัวเองด้วยนั่นก็คือ
- ความช้า อย่างเช่นเราจะไปทำธุรกรรมอะไรสักอย่างที่ธนาคาร อย่างเปิดบัญชีบริษัท หรือทำบัตรเครดิต ในกระบวนการขั้นตอนจะต้องมีการเขียนเอกสารหลายฉบับบส่งเอกสารให้ตรวจสอบมากมาย ต้องรออนุมัติ กว่าจะตีกลับมาว่าเอกสารครบหรือไม่ ต้องส่งเอกสารอะไรเพิ่ม จะต้องเซ็นเอกสารอะไรเพิ่มอีก รวมแล้วก็หลายกระบวนการ แม้วันนี้เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้ลดลงบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ยังใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือเป็นวันอยู่ดี
- ความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์(Human Error) อย่างถ้าเป็นเรื่องของเอกสารสำคัญ หากมีการเซ็นผิดบางทีก็ต้องของเอกสารใหม่ มาทำการเซ็นใหม่อีกหลายขั้นตอน หรือการทำเอกสารหาย การปลอมแปลงเอกสาร
- อำนาจถูกถือครองอยู่ที่เดียว อย่างถ้าเป็นเรื่องการเงินเราก็จะต้องฝากความหวังไว้กับธนาคารเท่านั้น ซึ่งไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า ธนาคารจะไม่ทำให้เงินในบัญชีเราสูญหายหรือผิดพลาด อำนาจการจัดการเงินของเราส่วนหนึ่งอยู่ที่ธนาคาร เป็นไปได้ไหมว่าวันหนึ่งธนาคารล้มละลาย ระบบฐานข้อมูลการเงินและการธนาคารของประเทศถูกโจรกรรม ก็อาจเป็นไปได้ แล้วเงินที่เราฝากไว้กับธนาคารล่ะจะทำอย่างไร ใครจะรับผิดชอบ ก็ในเมื่อพวกเราได้ตกลงใจมอบอำนาจสิทธิ์ในการดูแลเงินของเรากับธนาคารไปแล้ว
Blockchain เข้ามาปฏิวัติและแก้ไขตัวกลางอย่างไร
เมื่อระบบ centralized หรือตัวกลางที่เราใช้ ๆ กันอยู่นี้มีปัญหา เทคโนโลยี Blockchain จึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหาข้อเสียของคนกลางเหล่านี้ โดยระบบ Blockchain จะเป็นแบบ Decentralized คือกระจายอำนาจในการตรวจสอบ โดยจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบใหม่ ซึ่งโลกของเราไม่เคยทำการเก็บข้อมูลแบบนี้ได้มาก่อนเลย โดยปกติแล้วข้อมูลของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะถูกเก็บไว้ที่ตัวกลางหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง อย่างข้อมูลทางการเงินก็จะมีธนาคารเก็บไว้ แต่ Blockchain จะใช้วิธีการเก็บข้อมูลแล้วกระจายข้อมูลนั้นออกไปในคนหลายๆ คนที่อยู่ในเครือข่ายหรือระบบ Blockchain เดียวกัน เช่น เราเปิดบัญชีกับธนาคาร ก ไว้ ข้อมูลบัญชีนี้ ก็จะเข้าไปถึงธนาคาร ข ธนาคาร ค และธนาคารอื่นๆ ที่ใช้ระบบ Blockchain เดียวกันได้ ดังนั้นทุกๆ ธนาคารจะสามารถตรวจสอบการเดินบัญชี การทำธุรกรรม และเครดิตหนี้สินของคุณได้ทันที ซึ่งปกติแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องของเครดิตบูโรเป็นข้อมูลบัญชีทั่วไป ธนาคารแต่ละธนาคารจะไม่สามารถลิงค์ข้อมูลถึงกันได้ แต่ถ้ามาใช้ Blockchain ข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งถึงกันและรับรู้โดยทั่วกัน ข้อดีก็คือ ไม่มีใครจะสามารถมาแอบอ้างหรือปลอมบัญชีของเราได้ เพราะบัญชีของเราเสมือนถูกดูแลโดยธนาคารทั่วประเทศ แต่ข้อเสียก็คือ อย่ายักยอกหรือทำเครดิตตัวเองเสียนะ เพราะเขาจะรู้กันทั่วเลยทีเดียวว่า คุณมีที่มาของเงินอย่างไร มีหนี้สินกับธนาคารแล้วประวัติการชำระเป็นอย่างไร
จริงๆ แล้ว Blockchain สามารถประยุกต์หรือนำไปใช้ได้ในทุกๆวงการที่หลากหลาย วงการอสังหาฯ วงการแพทย์ ระบบของราชการ ตั้งแต่การทำบัตรประชาชน การทำบัตรสวัสดิการของรัฐ การรับสมัครงาน การรับเด็กๆเข้าเรียนมัธยมหรือเข้ามหาวิทยาลัย เพราะชีวิตของเราทุกคน ล้วนมีข้อมูลและ Blockchain ก็คือเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้น ฉะนั้น ถ้า Blockchain สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากมายขนาดนั้น จึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งใบจริงๆ เรื่องราวของ Blockchain ที่จะเข้ามาเขย่าโลกและวิถีชีวิตของมนุษย์นั้นยังมีอีกมาก โปรดติดตามกันได้ใน Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก EP.2