มีหลายคนเริ่มกล่าวว่าเทคโนโลยีบล็อกเชน(Blockchain)จะกลายเป็นอินเทอร์เน็ตในยุคต่อไป และที่สำคัญสิ่งนี้จะเข้ามาเปลี่ยนโลกได้จริงๆในอีกไม่นานนี้ ในBlockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก EP.1 เราได้แนะนำให้รู้จัก เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้กันไปบ้างแล้ว ใน EP.2 เราจะมาว่ากันต่อว่าเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นจากใคร เกี่ยวข้องอย่างไรกับ Bitcoin และ Cryptocurrency รวมไปถึงทำไมต้องมีเทคโนโลยีบล็อกเชน

Blockchain เกิดขึ้นจากใคร

ผู้ที่คิดค้น Blockchain ขึ้นมาก็คือเจ้าเก่าเจ้าเดิม ซาโตชิ นากาโมโต้ (Satoshi Nakamoto) เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครทราบ เป็นคนๆเดียวหรือกลุ่มบุคคลก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆเขาก็คือผู้ที่ออกแบบระบบเทคโนโลยี Blockchain ขึ้นมาพร้อมๆ กับเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin โดยให้ Bitcoin ทำงานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ตรงนี่จึงทำให้เรื่องของ Bitcoin และ Cryptocurrency มีความเกี่ยวพันและเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Blockchain เพราะเงินดิจิทัลจะมีคุณค่ามีราคา มีการซื้อขายที่โปร่งใสได้ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการรันตัวมันเอง ซึ่งเทคโนโลยีที่เหล่าเงินดิจิทัลทั้งหลายต้องไปเกาะอยู่นั้นก็คือเทคโนโลยี Blockchain นี่เอง

ทำไมต้องสร้าง Blockchain ขึ้นมา

สำหรับ Satoshi Nakamoto วิสัยทัศน์หลักของเขานั้นต้องบอกว่าตั้งอยู่ในเรื่องของการเงินเป็นหลัก ดูแล้วแท้จริงเขาไม่ได้มีเป้าหมายที่จะสร้าง Blockchain ขึ้นมาเป็นอินเทอร์เน็ตยุคที่สองแต่ประการใด Satoshi Nakamoto มองเห็นปัญหาเรื่องบุคคลที่สาม หรือตัวกลาง (centralized trusted party)ที่เกี่ยวกับการเงินที่เคยยกตัวอย่างไปใน EP.1 แล้วว่า เมื่อเราต้องการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงิน ไม่ว่าจะไปฝาก ถอน โอน เราต้องไปที่ธนาคารเท่านั้น โดยธนาคารจะเป็นผู้รับเรื่องการทำธุรกรรมของเรา บันทึก เก็บเงินทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเราก็รอแค่หลักฐานการฝาก การถอน การโอนที่อยู่ในสมุดบัญชีเท่านั้น และในขั้นตอนต่าง ๆที่เราทำธุรกรรมธนาคารอาจมีการคิดค่าธรรมเนียมด้วย กระบวนการขั้นตอนเหล่านี้มีแค่เรากับธนาคารเท่านั้นที่รู้ ถ้าเป็นการโอนเงิน ก็จะมีเรา(ผู้โอน) ธนาคารและผู้รับโอน 3 คนเท่านั้นที่รู้ ซึ่งระบบตัวกลางที่เกิดขึ้นลักษณะนี้มีช่องโหว่เรื่องของความโปร่งใส และเรื่องของความล่าช้า(โอนเงินข้ามประเทศใช้เวลาเป็นวัน และมีค่าธรรมเนียมสูง) ใครโอนเงินให้ใคร และเงินนั้นมาจากไหน ยักย้ายไปสู่ใครไม่มีใครรู้ นอกจาก 3 คนที่เกี่ยวข้อง ตรงนี้จึงเป็นช่องที่ทำให้เกิดการทุจริต การฟอกเงิน การยักยอกหรือหมกเม็ดทรัพย์สินได้ อย่างนักการเมืองที่ต้องเปิดเผยทรัพย์สินให้หมดปัจจุบันก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการปิดบังทรัพย์สินของตนเอง แม้กระทั่งราชายาเสพติดหรือพ่อค้าอาวุธก็ใช้ช่องโหว่นี้ในการหาประโยชน์เช่นกัน เรื่องทำนองนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องการความโปร่งใสชัดเจน

อีกหนึ่งประกาศของเรื่องเงินทองก็คือ การกุมอำนาจไว้ในมือของชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างถ้าย้อนไปตอนปี 2008 สหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤต subprime mortgage crisis หรือที่บ้านเราเรียก วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เกิดหนี้เสียเยอะมากในอเมริกา เศรษฐกิจในอเมริกาฝืดเคืองและเป็นปัญหามาก และอเมริกาก็ใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบ “แถ” เศรษฐกิจไม่ดีค่าเงินตกก็พิมพ์แบงก์ใช้เองเลยโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ใดค้ำประกัน (โดยปกติทั่วโลกจะเป็นเหมือนกันหมด คือ จะพิมพ์แบงก์ออกมาใช้ก็จะต้องมีการเอาทองคำไปค้ำประกันไว้ เป็นการอ้างอิงค่าเงิน อย่างจะพิมพ์แบงก์ออกมา 10 ล้าน ก็ต้องเอาทองคำ 10 ล้านค้ำประกันกับแบงก์ชาติไว้) การกระทำเช่นนี้ของอเมริกาเป็นการพิมพ์แบงก์แบบลอยๆ เพื่อเป็นการยื้อเศรษฐกิจของประเทศให้ประชาชนมีเงินใช้ไปจับจ่ายชำระหนี้

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นช่องโหว่ทางการเงิน ที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในเรื่องการเงินของคนทั้งโลก ทำไมโลกต้องอิงค่าเงินกับเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือสกุลเงินชาติมหาอำนาจอื่นๆ ทำไมต้องเปิดช่องโหว่ให้กับคนที่ทุจริต ยักยอกและทำผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ Satoshi Nakamoto จึงออกแบบ Blockchain ขึ้นมา พร้อมกับคำอีกสามคำ คือ Bitcoin, Cryptocurrency และ เศรษฐกิจดิจิทัล(Digital Economy) เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเรื่องการเงินของโลก เป็นการถ่วงดุลให้กับระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลก แต่สิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมานี้กลับเป็นสิ่งที่ท้าทายระบบการเงินและสถาบันการเงินต่างๆ ที่มีอยู่เดิมอย่างมาก Blockchain จะสามารถเป็นเทคโนโลยีในอุดมคติที่จัดการเรื่องการเงินของคนทั้งโลกได้ดีจริงหรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์

พบกับเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตยุคที่ 2 นี้กันต่อได้ตอนหน้า ใน Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก EP.3