เป็นผู้หญิงต้องอย่าหยุดสวย นั่นคงเป็นคำกล่าวที่เราได้ยินกันจนชินหู พูดง่ายแต่การทำนั้นไม่ง่ายเลย เพราะผู้หญิงอย่างเราแพ้อยู่สิ่งเดียวก็คือ “กาลเวลา” อายุมากขึ้นริ้วรอยก็เยอะขึ้นไปตามวัย วิธีที่สาวๆยุคใหม่นิยมใช้ในการแก้ปัญหาความงดงามของใบหน้าหลักๆแล้วก็จะมีอยู่ 2 อย่าง นั่นคือการฉีด BOTOX และการฉีด Filler แต่หลายคนก้ยังกล้าๆกลัวๆไม่กล้าไปฉีด เพราะมีข่าวออกมาให้เห็นเป็นประจำเลยว่า ไปฉีด BOTOX & Filler มาแล้วหน้าพัง ที่จริงแล้ว BOTOX & Filler คือ อะไร ไปฉีดแล้วอันตรายไหม อันนี้คงต้องให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วันนี้เราได้รับเกียรติจากนายแพทย์นพดล อมรภิญโญเกียรติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มาให้ความรู้กับเราในเรื่องนี้
รู้จัก BOTOX & Filler ก่อนไปฉีดจะดีกว่า
หมอขอแนะนำทีละตัว ก่อนอื่นมารู้จัก BOTOX ก่อน
- โบท็อกซ์ (Botox) หรือ เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า Botulinum Toxin ซึ่งเป็นสารสกัดจากโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับกล้ามเนื้อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งข้อบ่งใช้ของ Botox ในทางการแพทย์แล้วปกติ จะใช้สารโบท็อกซ์นี้ฉีดเข้าไปที่ใบหน้าเพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดจากการขยับตัวของกล้ามเนื้อ จนทำให้เกิดรอยย่นและริ้วรอยบนใบหน้าอย่างเช่น รอยย่นหน้าผากรอยย่นหว่างคิ้ว รอยย่นสันจมูก รอยย่นตีนกา อย่างนี้เป็นต้น ตีนกา ซึ่งเมื่อฉีดโบท็อกซ์ เข้าไปแล้วริ้วรอยจะค่อยๆจางลงและหายไปรวมถึงจะค่อยๆลดกล้ามเนื้อบริเวณกรามลงโบท็อกซ์จึงช่วยปรับรูปหน้า ทำให้หน้าเรียวขึ้นด้วย
- Filler จะเป็นสารคนละชนิดกับ Botox เลย Filler เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid ซึ่งแน่นอนว่าแพทย์ก็จะนำมาใช้ในกรณีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ดี Filler ก็สามารถนำมาใช้ในกรณีที่คนไข้ต้องการลดริ้วรอย บนใบหน้าได้เหมือนกัน แพทย์จะใช้ฉีดเข้าไปที่ผิวหนังบริเวณใบหน้าเหมือนกันตรงส่วนที่มีริ้วรอยมาก ๆ ฉีดเข้าไปเพื่อให้สารนี้เข้าไปเติมเต็มและแก้ไขความบกพร่องของเซลล์บนใบหน้า และที่หลายคนบอกว่า Filler ช่วยปรับรูปหน้าอันนี้ก็ถูกต้องเพราะFiller จะช่วยเข้าไปเสริมปริมาณกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้หน้าดูยาวมากขึ้น อันเป็นกระบวนการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นนั่นเอง
การฉีด BOTOX & Filler มีผลค้างเคียงที่อันตรายหรือไม่
การการฉีด BOTOX & Filler อาจเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่จริง ๆเกิดขึ้นน้อยมาก อาการข้างเคียงที่เกิดได้ก็จะมี มี รอยแดง คัน ช้ำ บริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ ปวดคอ คลื่นไส้ วิงเวียน ปากแห้ง เจ็บคอ เสียงแหบ มีไข้ แต่อาการเหล่านี้อาจจะมีอยู่สักประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะหายไปเอง ไม่มีอันตรายใดๆ อาการเหล่านี้จะไม่ได้เป็นทุกคน หากฉีดกับหมอที่มีความเชี่ยวชาญอาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดน้อยมาก
BOTOX & Filler กับความคงทนของผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
หมอต้องบอกก่อนว่าคนแต่ละคนแตกต่างกันโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญปัญหาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ดังนั้น จะให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจในระดับเดียวกันนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ สำหรับการฉีด BOTOX นั้นจะเห็นผลได้ค่อนข้างเร็วทีเดียว แค่ชั่วโมงเดียวบางคนก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว บางคนก็อาจจะนานกว่านั้นประมาณ 2- 3 วัน แต่ผลจากการฉีดนั้นจะไม่คงอยู่อย่างถาวร ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ 4 – 6 เดือน
ส่วน Filler นั้น ก็ขึ้นอยู่กับชนิดที่เลือกใช้ด้วย ซึ่งจะมี 3 ชนิด คือ แบบชั่วคราว ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ช่วยลดริ้วรอยอยู่ที่ประมาณ 4 – 6 เดือน เหมือน BOTOX และ Filler ชนิดที่ 2 เป็นแบบแบบกึ่งถาวร แบบนี้ก็จะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี ส่วนแบบที่ 3 นี่เป็นจำพวกซิลิโคนหรือพาราฟิน ซึ่งเป็นสารที่มีความคงทนแต่หมอไม่ค่อยแนะนำเพราะไม่ปลอดภัย
BOTOX & Filler เหมาะสมกับใคร
จริงๆปัจจุบันเรื่องของความสวยความงามนั้น ไม่ใช่จะมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นนะที่ให้ความสำคัญ ในทุกวันนี้ก็มีผู้ชายหลายคนมาฉีด BOTOX และ Filler เช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงอย่างเดียวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหากเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องริ้วรอย มีผิวหน้าหย่อนคล้อย และต้องการปรับรูปหน้า คนที่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์แล้วเข้ารับการฉีด BOTOX & Filler ได้แต่ทั้งนี้ใช่ว่าแพทย์จะทำการฉีดให้ทุกคนเสมอไป หมอจะดูจากปัญหาของคนไข้แต่ละคนมากกว่า เพราะว่าแต่ละช่วงวัยก็จะพบเจอปัญหาและมีความต้องการที่แตกต่างกันไป ถ้าหญิงมีครรภ์ ให้นมบุตร หรือคนที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงกลุ่มนี้หมอก็จะไม่แนะนำให้ทำเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่คุณจะไปฉีด BOTOX และ Fillerที่ไหน คุณต้องการศึกษาหาความรู้ก่อน ต้องรู้สถานที่ที่จะไปทำวัสดุที่ใช้สารที่ใช้ในการฉีดให้กับเราด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง อย่าคิดว่าจะเอาของถูกอย่างเดียว หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา คุณจะต้องเสียเงินรักษาตัวอีกมายมาย ซึ่งนั่นจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไป