ฟิลิปปินส์กับปาปัวนิวกีนีได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกันในด้านการพัฒนาเกษตรกรรม โดยฟิลิปปินส์อาสาจะเข้าไปช่วยให้ความรู้ในด้าน การปลูกข้าว การเลี้ยงปลาน้ำจืด เเละการปลูกพืชอุตสาหกรรม ให้กับปาปัวนิวกินี
ปาปัวนิวกินีนับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ เพราะรายได้หลักของปาปัวนิวกินีนั้นมาจากน้ำมันและแก๊ส ซึ่งหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงปาปัวนิวกินีเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศของรัฐบาลปาปัวนิวกินีเน้นลงทุนโครงสร้างด้านปิโตเลี่ยม และทุ่มงบประมารทั้งหมดลงไปในจุดนี้ รายได้จากอุตสาหกรรมนี้คิดเป็น 60 % ของรายได้ทั้งหมดของประเทศทีเดียว แต่เมื่อราคาน้ำมันผันผวนมาก สถานะทางเศรษฐกิจของปาปัวนิวกินีจึงแกว่งไปไม่น้อย นายปีเตอร์ โอเนล นายกรัฐมนตรีแห่งปาปัวนิวกินีจึงได้มีการเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมทางเศรษฐกิจในออสเตรเลียว่า ปาปัวนิวกินีจำเป็นต้องเพิ่มความหลากหลายได้การได้มาซึ่งรายได้ของประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ
จากปัญหาดังกล่าว ทางฟิลิปปินส์จึงได้มีการอาสาเข้าไปช่วยเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับปาปัวนิวกินีในเรื่องของการสร้างผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งทางฟิลิปปินส์เองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเกษตรกรรมและการปลูกข้าม มีหน่วยงานวิจัยข้าวที่พัฒนาพันธุ์ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน รวมทั้งพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อน้ำ แต่สิ่งที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงัเกตก็คือ ฟิลิปปินส์เองเป็นประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้มีศักยภาพมากมาย การอาสามาช่วยปาปัวนิวกินีในครั้งนี้มีอะไรแอบแฝงหรือไม่
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์กันให้ดีแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ทางฟิลิปปินส์ จะหวังผลอะไรบางอย่างจากทางปาปัวนิวกินีในการทำข้อตกลงครั้งนี้ เพราะในปาปัวนิวกินีมีแรงงานต่างด้าวที่เป็นชาวฟิลิปปินส์อยู่ไม่น้อย เมื่อดูตัวเลขจำนวนแรงงานต่างด้าวที่เป็นชาวฟิลิปปินส์ในปาปัวนิวกินีในปี 2012 ก็จะมีอยู่สูงถึง 15,500 คน แต่ในปัจจุบันตัวเลขนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า และเชื่อว่าความร่วมมือทางด้านเกษตรในครั้งนี้ ทางฟิลิปปินส์จะอาศัยแรงงานที่อยู่ในปาปัวนิวกินีเข้าไปดูแลจัดการ และอาจจะมีการส่งแรงงานจากฟิลิปปินส์เข้าไปเพิ่มเติมอีก คือไปให้ความรู้เรื่องการปลูกข้าว เลี้ยงปลาน้ำจืด และการปลูกพืชอื่นๆ ซึ่งจะทำให้แรงงานฟิลิปปินส์มีรายได้สูงขึ้นสามารถส่งเงินกลับบ้านหลายพันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อปี และอีกประการดูเหมือนว่าทางฟิลิปปินส์ช่วยเหลือปาปัวนิวกีนีเรื่องการปลูกข้าวนี้ น่าจะเป็นเพราะว่าฟิลิปปินส์ต้องการให้ปาปัวนิวกินียกเลิกข้อห้ามเรือต่างประเทศจับปลาทูน่า เพราะมีเรือประมงจำนวนหนึ่งจากเกาะมินดาเนา ทางใต้ของฟิลิปปินส์ เข้าไปจับปลาทูน่าในน่านน้ำของปาปัวนิวกีนีเพื่อนำปลากลับไปแปรรูปในประเทศและกลายเป็นข้อพิพาทกันขึ้นมา
เรื่องราวของฟิลิปปินส์กับปาปัวนิวกีนีในครั้งนี้สะท้อนอะไรบางอย่างถึงไทยเช่นกัน สำหรับประเทศในเอเชียแล้ว เกษตรกรรม ยังเป็นขุมทองที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์หากตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วก็เป็นตัวเลขที่มหาศาลจนยากจะคาดเดา แต่ไทยเราเองมีการส่งเสริมด้านการเกษตรกันมากเพียงพอหรือไม่ อันนี้ก็ยังเป็นคำถามที่น่าคิด เพราะถ้าการเกษตรไทยดีจริง เกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศก็น่าจะมีฐานะและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่นี่กลับกลายเป็นว่านายทุน พ่อค้าคนกลางรวยขึ้นแต่เกษตรกรกลับจนลง หรือ เราจะเอาอย่างฟิลิปปินส์เขาบ้างดี ส่งเกษตรกรไทยไปสอนคนชาติอื่นๆปลูกข้าว แลกเงินรายได้เข้าประเทศเพียงเล็กน้อยและใบปริญญาสุดโก๋ แบบที่เคยทำกันมาแล้วในสมัยก่อน