เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 61 ที่ผ่านมานี้ โลกได้สูญเสียนักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยาคนสำคัญแห่งยุคไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ คนๆนั้นก็คือ ‘สตีเฟน ฮอว์คิง’ (Stephen Hawking) ซึ่งเขาได้เปิดเผยความจริงอันเป็นความลับของจักรวาลให้เราทุกคนได้ทราบ ตามความรู้และความเชี่ยวชาญของเรา เรื่องราวของบุคคลคนนี้มีความน่าสนใจมาก จนกระทั่งมีคนนำมาทำเป็นภาพยนตร์แนวอัตชีวประวัติ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า The Theory of Everything : ทฤษฎีรักนิรันดร เพื่อเป็นการอาลัยแด่การจากไปครั้งนี้ของเขา เราจึงขอชวนมาดูหนังเรื่องนี้เพื่อรำลึกถึงเขาผู้นี้กัน

     The Theory of Everything: ทฤษฎีรักนิรันดร จริงๆแล้วก่อนเป็นภาพยนตร์เคยถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวอักษรเป็นหนังสือมาก่อน ชื่อหนังสือก็คือ Travelling to Infinity: My Life with Stephen ที่เขียนโดย เจน ฮอว์คิง (Jane Hawking) ภรรยาคนแรกของสตีเฟน ฮอว์คิง และ เจมส์ มาร์ช ผู้กำกับหนังสารคดียอดฝีมือคนหนึ่งของยุคได้นำเนื้อหาจากในหนังสือ แปลงจากตัวอักษรมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์

     เรื่องราวโดยทั่วไปของหนังแน่นอนว่าเป็นเรื่องราวในชีวิตของ สตีเฟน ฮอว์คิง  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งป่วยเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม ตั้งแต่อายุ 21 ปี แต่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจมากกว่าหนังชีวประวัติทั่วไปก็คือ การหยิบจับเอามุมมองและด้านหนึ่งของ สตีเฟน ฮอว์คิง มาร้อยเรียงถ่ายทอดออกมาได้อย่างโรแมนติก ซึ่งจากหนังชีวประวัติที่จะออกสารคดีชีวิตกลายเป็นหนังที่นำเสนอมุมมองความรักในอีกรูปแบบออกมาได้อย่างไม่มีใครคาดคิด ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย

La-teoria-del-tutto-     ในด้านของนักแสดงที่มารับบทนำในเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดมากทีเดียว บทของสตีเฟน ฮอว์คิง รับหน้าที่โดยเอ็ดดี เรดเมย์น (Eddie Redmayne) ซึ่งเขาแสดงออกมาได้ดีจริงๆ เขาลงทุนไปศึกษาอาการป่วย ALS (โรคที่สตีเฟนเป็น)อย่างจริงจัง เพื่อให้รู้ว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร ต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไร จนสามารถนำมาถ่ายทอดให้เราเห็นราวกับว่าเขาป่วยเองจริงๆ อีกตัวละครที่สำคัญอีกหนึ่งก็คือ เจน ภรรยาของสตีเฟน ผู้รับบทนี้ก็คือ เฟลิซิตี โจนส์ (Felicity Jones) ซึ่งเธอก็ทำออกมาได้เยี่ยมยอดเช่นกัน

     สำหรับการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำได้ดีทีเดียว การปูเรื่องโทนของหนังช่วงแรกทำให้คนเข้าใจว่านี่น่าจะเป็นหนังโรแมนติกธรรมดาเรื่องหนึ่ง เพราะทุกอย่างดูดีสวยงามราบเรียบไปหมด แต่แล้วก็มีจุดหักเหเบนโทนหนังของเรื่องกลายเป็นดราม่าอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดได้เลย การจัดองค์ประกอบภาพ การจัดฉากเสื้อผ้า การเลือกใช้โทนสี ทำให้เราที่เป็นผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังเรื่องนี้อย่างไม่ยากเย็น ในส่วนที่ดราม่าก็ทำให้เรารู้สึกและเข้าถึงอารมณ์ได้แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เราดูไปหดหู่ไป

     The Theory of Everything : ทฤษฎีรักนิรันดร คือภาพยนตร์ที่ทำให้เอ็ดดี เรดเมย์นคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในปี 2015 มาครองได้ ใครที่ไม่รู้จักสตีเฟน ฮอว์คิง และอยากนะรู้จักเขาว่าเขาเป็นใครยิ่งใหญ่อย่างไร ใครที่ไม่รู้จักโรค ALS มาเป็นอย่างไรทรมานแค่ไหน ใครที่มองว่าความรักคือการไขว่คว้ามา มากกว่าการให้ไป และใครที่คิดว่าตัวเองเกิดมาแล้วไร้ค่าไร้ความหมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปลี่ยนความคิดของคุณไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะสมบูรณ์แบบเสมอไป ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพและกาลเวลา มันขึ้นอยู่กับว่า คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลมกลืนไปกับสภาวะนั้นๆได้หรือไม่ต่างหาก

Intelligence is the ability to adapt to change.

สติปัญญาคือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง

สตีเฟน ฮอว์คิง