กระทรวงพาณิชย์ยืนยัน ไม่มีเหตุผลในขณะนี้ที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารตามสั่ง แม้ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)จะขึ้นก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง15-20สตางค์เท่านั้น หากพ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสช่วงนี้ ผู้บริโภคร้องเรียนได้ทันที
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้ราคาน้ำมันโลก และน้ำมันในไทยจะผันผวนปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบไปยังราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่ต้องปรับราคาขึ้นด้วยก็ตาม แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องมาปรับราคาสินค้าหรืออาหารตามสั่งทั่วไปขึ้นในช่วงนี้ ราคาก๊าซหุงต้มปรับตัวขึ้น อย่างขนาดถัง 15 กก. จาก 353บาทต่อถัง เป็น 395 บาทต่อถัง หรือปรับเพิ่มขึ้น 42 บาทต่อถัง พบว่าส่งผลให้ต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) เพิ่มขึ้นเพียง 15-20 สตางค์ต่อจานต่อชาม ซึ่งคำนวณจากก๊าซหุงต้ม 1 ถัง สามารถปรุงอาหารได้ 100-200 จานต่อชาม เช่น ก๋วยเตี๋ยว มีต้นทุนก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น 1.88 บาทต่อชาม จากเดิมต้นทุนค่าก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 1.68 บาทต่อชาม หรือต้นทุนก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อชาม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการอาหารจานด่วนจะปรับราคาขึ้นมา เพราะกระทบต้นทุนการผลิตอาหารน้อยไม่ หรือไม่ถึง 1 บาท
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญผู้ผลิตสินค้ามาหารือถึงสถานการณ์ราคาสินค้าว่าจะมีการกระทบต้นทุนมากน้อยเพียงไหน ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้สายตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบร้านอาหารตามสั่ง และหาพบว่ามีการปรับราคาเกินจริงก็จะมีโทษปรับไม่เกิน140,000บาทจำคุกไม่เกิน4ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้บริโภคพบเห็นสามารถโทรแจ้ง1569 ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่มีผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคาสินค้า
นอกจากนั้นแล้วราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องน่าจะกระทบกับเรื่องการขนส่ง และส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นด้วยนายสนธิรัตน์กล่าวว่า ค่าขนส่งรถบรรทุกที่จะปรับราคาขึ้นมาประมาณ 5% นั้นพบว่าจะกระทบราคาขายปลีกสินค้าในภาพรวมน้อยสุด 0.0032% และกระทบมากสุดที่ 0.4853 % โดยสินค้าที่กระทบน้อยสุด คือ ผ้าอนามัย และสินค้ากระทบมากสุด คือ ปูนซีเมนต์ ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่ม พบว่าจะกระทบน้อยสุด 0.0178% มากสุด 0.2772% สินค้าที่กระทบน้อยสุด คือ ปลากระป๋อง สินค้าที่กระทบมากสุดคือ นมถั่วเหลือง ส่วนหมวดเกษตร สินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ยาปราบศัตรูพืช กระทบ 0.0848% และปุ๋ยเคมี กระทบ 0.2452%
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย จึงได้มีการหารือร่วมกับทางกระทรวงพาณิชย์ทำโครงการ ค้าส่งรวมใจ โชว์ห่วยไทยคู่สังคม ครั้งนี้จัดขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 25 – 30 มิ.ย. 61 และช่วงที่ 2 ระหว่างวันที่ 11 – 15 ส.ค. 61 โดยจะมีการลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคครั้งใหญ่ 20 – 50% เพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย พร้อมส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าส่ง-ค้าปลีกแบบดั้งเดิมในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น