ในขณะธุรกิจอาหารกำลังแข่งขันกันดุเดือด ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย แล้วแบบนี้คนทำธุรกิจอาหารจะอยู่รอดอย่างไร ลองมาดูวิธีการแก้ไขปัญหาและกลยุทธ์ธุรกิจอาหารของ Sizzler กัน

ธุรกิจอาหาร ร้านสเต็กแข่งกันเดือด

ในทุกวันนี้ธุรกิจอาหารนับวันจะยิ่งแข่งขันกันรุนแรงขึ้น ยิ่งในประเทศไทยอันเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมการกินดื่มอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การรับเอาวัฒนธรรมธรรมการกินดื่มและอาหารของชาติต่างๆเข้ามาลงสู่ตลาดได้อยู่เรื่อยๆ และนับวันดูจะไม่ซ้ำเดิมเข้าไปทุกที เอาแค่ธุรกิจอาหารแบบ “ร้านสเต็ก” ทุกวันนี้เรามีร้านสเต็กหลากหลายเกรดเปิดให้บริการอยู่มากมาย ตั้งแต่ระดับสเต็กของโรงแรมหรู ไปจนถึงสเต็กแบบบ้านๆที่สามารถหารับประทานได้ตามงานวัด ซึ่งความหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้ก็คือ การเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดธุรกิจอาหารแบบ “ร้านสเต็ก” ซึ่งแต่เดิมจะมีเจ้าใหญ่ๆอยู่เพียง 1 – 2 เจ้าเท่านั้น และหนึ่งในนั้นที่เป็นสากลคนไทยรู้จักดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Sizzler ย้อนกลับไปราวๆ 10 ปีก่อน ถ้าพูดถึงเมนูสเต็กแบบร้านที่มีเครือข่ายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ก็จะอยู่แค่เพียง Sizzler ที่เป็นเจ้าใหญ่ที่ใครๆก็รู้จัก ด้วยรสชาติอาหารที่ถูกปาก ราคาที่เหมาะสมรูปแบบและบรรยากาศร้าน ตลอดจนบริการที่ดูพรีเมี่ยม จึงทำให้ Sizzler ครองใจลูกค้ามาได้ยาวนาน

แต่เมื่อมีเบอร์หนึ่งก็ต้องมีเบอร์สอง เมื่อ Sizzler เป็นต้นแบบ “ร้านสเต็ก” พรี่เมี่ยมที่เปิดตลาดมาจนสำเร็จแล้ว เบอร์สองรายต่อๆไปก็ขอลงมาแบ่งส่วนตลาดบ้าง จากร้านสเต็กมีแบรนด์ไล่ลงไปจนถึง ร้านสเต็กข้างทางที่สร้างแบรนด์เองแบบง่ายๆ ทำผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เรื่องสเต็กจึงไม่ใช่แค่ต้อง Sizzler อีกต่อไป ทำให้ Sizzler เองก็ต้องพบกับการแข่งขันที่สูงมากทีเดียว

ใช้สูตร Marketing Mix

เมื่อคู่แข่งมากขึ้น ส่วนแบ่งทางการตลาดก็ถูกแบ่งออกไปมากด้วย ทำให้ Sizzler ต้องปรับตัวสู้ โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Marketing Mix คือ

1.สร้างเมนูอาหารใหม่ๆที่น่าสนใจ (New Product Development :NPD) : ธุรกิจอาหารจุดสำคัญก็ย่อมอยู่ที่ ‘เมนู’ ถ้ามีเมนูอาหารที่น่าสนใจสำหรับลูกค้า ยิ่งสร้างความได้เปรียบ เทนูอาหารใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้ลูกค้าได้พบความแปลกใหม่และอยากจะเดินเข้าร้านอีก นั่นจึงนำมาซึ่งการออกเมนูอาหารใหม่ 4 รายการในช่วง 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.61) มาทำโปรโมชั่น ซึ่งมีมาครบทั้ง หมู เนื้อ ไก่ ปลา เสิร์ฟคู่กับ เครื่องดื่มรสชาติใหม่อีก 5 รายการ

2.ปรับกลยุทธ์ด้านราคา (Stratergic Price Point) : เริ่มต้นตั้งแต่หั่นราคาเมนูเอกอย่าง “สลัดบาร์” จาก 199 เหลือ 139 นำเมนูปกติ (Regular Menu)มาจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า และยังจัดช่วงเวลาลดราคาด้วย เช่น Lunch Special ช่วงจันทร์-ศุกร์ ลดราคาสเต็กไก่เหลือ 239 บาท จาก 278 บาท สเต็กปลาราคา 259 บาท จาก 298 บาท หรืออย่างเครื่องดื่มใหม่ที่ออกมาก็เอามาจัดโปรฯด้วย จาก 89 เหลือ 69 บาท ซึ่ง Sizzler จะใช้วิธีการจัดโปรฯปรับราคาปีละ 4 ครั้ง หรือ ไตรมาสละ 1 ครั้ง ซึ่งราคาที่ปรับลงมา จะทำให้ยอดใช้จ่ายต่อบิลลดลง 50 – 60 บาท แต่จะได้ลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารกันถี่ขึ้น ซึ่งจะทำให้ยอขายโดยรวมดีขึ้นนั่นเอง

ปรับตลาดเบนเข็มไปที่คนรุ่นใหม่

สำหรับลูกค้ากลุ่มคนเรุ่นใหม่แล้ว มักมองว่า Sizzler เป็นอะไรที่เชย เพราะ Sizzler ขายความเป็นครอบครัว เป็นร้านอาหารหรือร้านสเต็กที่สามารถมารับประทานสังสรรค์กันแบบครอบครัวได้ แต่คนรุ่นใหม่มักจะรู้สึกว่าสไตล์แบบนี้น่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ Sizzler เข้าใจประเด็นนี้ จึงงัดปรับกลยุทธ์เบนเข็มกลุ่มเป้าหมายมุ่งไปที่คนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 18-25 ปี ด้วย ซึ่งเป้าหมายหลักนั้นยังคงเดิมคือ ผู้ใหญ่ช่วง 26-46 ปี แต่ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายออกไป เพื่อทวงคืนส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งการประกาศภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่นี้ก็ใช้กลยุทธ์ดึงเอาคนรุ่นใหม่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โดย Sizzler ได้ดึงเอา “ต่อ ธนภพ” ซึ่งเป็นหนึ่งดาราขวัญใจวัยรุ่นที่สาวๆกรี๊ดกันมากมารับหน้าที่นี้ นอกจากจะให้เป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว ก็ยังให้ “ต่อ ธนภพ” เข้ามาทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (CRM) ให้กับลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิกของ Sizzler ที่มีอยู่ราว 2 แสนรายด้วย ซึ่งทาง Sizzler คาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมาได้เป็น 25 % จากเดิมซึ่งมีอยู่ 15 %

นอกจากการใช้พรีเซ็นเตอร์แล้ว Sizzler ก็ยังใช้ความแข็งแกร่งของ ‘เมนู’ อาหารมาสอดประสานให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่ง Sizzler งัดเมนู “คอร์นชีส ฟองดูว์” โดยเล่นกับเมนู ‘ชีส’ อันน่าจะโดนใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น เข้ามาชักจูงกลุ่มเป้าหมายใหม่

ปรับลุคใหม่และขยายสาขา

นอกจากการปรับกลยุทธ์การตลาดด้านเมนูอาหารและกลุ่มเป้าหมายแล้ว Sizzler ยังมีการปรับลุคภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “เนเชอรัล กรีน” ด้วยงบลงทุน 140 ล้านบาท ทั้งปรับปรุงสาขาเดิม 10 แห่ง และการขยายร้านใหม่อีก 3 สาขาในกรุงเทพฯ โดยจะปรับลุคของร้านที่ดูทึมๆแบบตะวันตกให้สะอาดตา ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านได้ง่ายและมีความสะดวกใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับลุคและขยายร้านเพิ่มนี้ ทาง Sizzler คาดว่าจะช่วยดันยอดขายให้โตขึ้นได้ถึง 10 %

เหล่านี้เป็นกลยุทธ์และไอเดียต้นแบบการปรับตัวของธุรกิจอาหารในยุคที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจร้านสเต็ก ใครที่ทำธุรกิจอาหารอยู่หรือใกล้เคียงก็สามารถนำกลยุทธ์เหล่านี้ของ Sizzler ไปปรับใช้กันได้ เพื่อประสิทธิภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น