HIGHLIGHTS
ลีกาชิง ไม่ต่างจากเจ้าสัวเมืองไทยหลายคนที่ใช้สูตรเสื่อผืนหมอนใบจากเมืองเล็กๆในจีนแผ่นดินใหญ่ อพยพข้ามทะเลมาขึ้นฝั่งที่เกาะฮ่องกงแล้วกลายมาเป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรโลกธุรกิจ เรื่องราวของชายคนนี้ คือเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีต่อการดำเนินชีวิต ลีกาชิงสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนที่จนที่สุดคนหนึ่ง กลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่งได้ ก็ด้วยเขาเป็นคนมุ่งมั่น ขยับ และใฝ่รู้ ใช้เงินเป็นและมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มนุษย์ทุกคนสามารถสร้างความร่ำรวย ความมั่นคงและประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าหากเลือกทางเดินได้ถูกต้องตามความสามารถของตนเอง และจะต้องมุ่งมั่นพยายาม อดทน ทำไปด้วย Passion ความรักและจิตใจที่เป็นสุข มิฉะนั้นแล้วการดำเนินชีวิตจะเสียสมดุลและเป็นทุกข์
คนที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจใหญ่ๆ เชื่อไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ลีกาชิง’ เขาผู้นี้คือมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเอเชีย และเป็นผู้มีอิทธิพลในฮ่องกง นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์รวยมากที่สุดเป็นที่ 2 ของทวีปเอเชีย และเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ‘ลีกาชิง’ ก็ได้มีการประกาศอำลาวงการ ขอวางมือต่อธุรกิจหลายหมื่นล้านของเขาที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ เรื่องราวของคนๆนี้ จึงน่าจะเป็นแรงบันดาลใจดีๆให้กับคุณทุกคนได้
เริ่มต้นจากศูนย์
ลีกาชิง เป็นคนแต้จิ๋ว ตระกูลของเขาถือได้ว่าเป็นตระกูลของบัณฑิต บรรพบุรุษของเขาเคยมีตำแหน่งเป็นขุนนางมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ราชวงศ์แมนจู แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกหลายรุ่นต่อมาจะมีฐานะดี เพราะประเทศจีนมีสงครามกันเรื่อยมาไม่ว่านอกและในประเทศ จวบมาจนถึงรุ่นคุณพ่อของลีกาชิงที่ชื่อ ลีหยุนจิง อำนาจวาสนาก็ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเดิมอีกต่อไป ลีหยุนจิง เป็นแค่ครูใหญ่ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งเท่านั้น และสงครามจีนญี่ปุ่นก็เข้ามาทำให้ ลีหยุนจิง อพยพครอบครัวหนีภัยสงครามไปอยู่ฮ่องกง เดิมที่ก็ค่อนข้างจะลำบากกันอยู่แล้ว ยิ่งไปอยู่ฮ่องกงยิ่งลำบากกว่าเดิม ลีหยุนจิงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ครอบครัวอยู่ได้ จนตัวเองล้มป่วยเป็นโรคปอด และในเวลาต่อมาเขาก้ต้องเสียชีวิตไปในที่สุด วันที่เขาจะจากไปนั้นเขาไม่ต้องสั่งเสียอะไรเลย เพราะลีกาชิงใน วัย 14 ปี และเป็นลูกคนโตได้เข้ามาบอกว่า
“พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลครอบครัวของเราเอง รับรองว่าผมจะทำให้ครอบครัวของเรามีความสุขให้ได้”
นั่นเป็นคำมั่นสัญญาที่ลีกาชิงให้กับพ่อของเขาไว้ ก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต และนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว โดยเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ ไม่มีสิ่งใดที่พ่อของเขาทิ้งไว้เป็นมรดกเพื่อตั้งต้นเลย นอกจากความรู้ และจิตใจที่มุ่งมั่นเท่านั้น
ชีวิตคือการต่อสู้
ลีกาชิงรู้อยู่แล้วว่า ภาระค่าใช้จ่ายในฮ่องกงมันหนักเกินไปที่เขาจะรับได้ เขารวบรวมเงินที่มีอยู่ในบ้านและทำการส่งครอบครัวพี่น้องกลับไปเมืองจีน ส่วนตัวเขาเองอยู่ฮ่องกงตามเดิม และไปทำงานเป็นกุลีแบกหาม เพราะด้วยวัย 14 ปี มันยากที่จะหางานที่ดีไปกว่านี้ทำได้ วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป แม้จะหนักและต้องทนกล้ำกลืน เขาก็ไม่ท้อ เพราะชีวิตมันต้องสู้ มีภาระพ่วงอยู่ข้างหลัง ถ้าเขาแพ้และถอดใจไปอีกคน ครอบครัวจะอยู่อย่างไร
ความรู้คืออำนาจ
รายได้จากการทำงานลีกาชิง แบ่งเจียดไปให้ครอบครัวที่เมืองจีน และส่วนหนึ่งเก็บไว้กับตัว ในส่วนของเขานั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเขาไม่ได้เอาเงินทองไปใช้ซื้อกินอะไรเหมือนที่คนทั่วไปเขาทำกัน เขาเป็นคนรักเรียนและใฝ่หาความรู้ เขานำเงินส่วนของเขานี้ ไปซื้อหนังสือมาอ่านเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ อ่านจบก็นำไปขายต่อและก็นำเงินมาซื้อเล่มใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้ จากกุลีธรรมดา ก็เริ่มที่จะไม่ธรรมดา ด้วยหนึ่งเขาขยัน สองถือว่าเป็นคนรู้หนังสือ จึงเริ่มขยับจากกุลีธรรมดามาเป็นหัวหน้าคนงาน และลีกาชิงก็ไม่เคยที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับลูกน้องของเขาเสมอด้วย นั่นจึงทำให้เขาเป็นที่เขาเคารพนับถือจากลูกน้อง แม้แต่หัวหน้างานก็ยังมองว่าเขาเป็นคนที่น่าจะสนับสนุน
ก้าวต่อไปของชีวิต
พอทุกอย่างเริ่มที่จะมองเห็นอนาคตมากขึ้น เขาก็ได้ไปทำงานอยู่กับญาติพักหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านขายนาฬิกา ทำได้ไม่นานก็ออกมาหางานใหม่ ตอนนั้นเขาอายุ 17 ปีแล้ว งานใหม่ที่เขามาทำนั้นก็เป็นเซลส์แมนขายโลหะภัณฑ์ คนอื่นจะทำงานกันแบบไหนไม่รู้ แต่สำหรับลีกาชิงนั้นเรียกได้ว่าทำมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า นั่นทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว งานดี เงินก็ดี แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังไว้ ชีวิตเขายังต้องก้าวไปสู่ฝัน ฝันของการเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง
สู่การเป็นเจ้าของกิจการ
ลีกาชิงทำงานอยู่ในตำแหน่งเซลส์แมนมาพักใหญ่ๆ ก็เก็บรวบรวมเงินทุนของตัวเองได้จำนวนหนึ่ง เขาเริ่มศึกษาตลาดใช้ประสบการณ์การเป็นเซลส์เรียนรู้ตลาดการทำธุรกิจ ดูเทรนด์และกระแสความนิยมของผู้บริโภค ตอนนั้น ของเล่นทำจากพลาสติก รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกเริ่มเป็นที่นิยมและเป็นสิ่งที่มีความต้องการของตลาดในฮ่องกง ลีกาชิงจึงเริ่มต้นจากจุดนั้น นำเงินตนเองและบางส่วนก็หยิบยืมจากญาติๆมาลงทุน ผลิตของเล่นพลาสติก รวมถึงของใช้ประจำวันที่ทำจากพลาสติกขาย ทิศทางตลาดมาแล้ว เขามองเห็นเขาก็คว้าโอกาสนั้นไว้ทันที
ราชาแห่งดอกไม้พลาสติก
ระหว่างที่ดำเนินธุรกิจไปนั้น ใช่ว่าเขาจะมุ่งอยู่กับการงานจนลืมที่จะหาความรู้ เขายังคงติดตามข่าวสาร ศึกษาตลาดอยู่เสมอ จนเขาได้ไปพบเรื่องราวของการทำดอกไม้พลาสติกในอิตาลี ซึ่งดอกไม้พลาสติกนี้กำลังจะถูกดันเข้าสู่ตลาดยุโรปในขณะนั้น ลีกาชิงพิจารณาแล้วว่าเขาเองก็อยู่ในธุรกิจพลาสติกอยู่แล้ว การขยับขยายไปในส่วนนี้จึงไม่ใช่การกระโดดข้ามสาขาธุรกิจที่โลดโผนหรือแหวกแนวอะไรเลย อีกทั้งเมื่อศึกษาทิศทางตลาดดีๆ โอกาสทำตลาดในฮ่องกงก็มีความเป็นไปได้ ลีกาชิงไม่รอช้าตัดสินใจบินไปดูงานที่อิตาลีทันที เขาได้เข้าไปเรียนรู้เทคนิคการประดิษฐ์ดอกไม้พลาสติก และก็นำความรู้นั้นกลับมาใช้ในธุรกิจของเขา บุกเบิกตลาดดอกไม้พลาสติกในฮ่องกง จนในที่สุดบูมจนกลายเป็นสินค้าส่งออกของฮ่องกงในเวลาต่อมา และนั่นจึงทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ราชาแห่งดอกไม้พลาสติก”
กระโดดเข้าสู่ธุรกิจใหม่
ลีกาชิงเป็นคนมีวิสัยทัศน์และไม่จมปลักอยู่กับสิ่งเดิมๆแบบเชื่อมั่นฝังใจ เขาตัดสินใจทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความจริงของโลก เขารู้ว่าธุรกิจดอกไม้พลาสติกเป็นอะไรที่เป็นกระแสเพียงชั่วคราว ไม่ใช่ธุรกิจที่ยั่งยืน เขาจึงกระโดดเข้าไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เข้าซื้อที่ดินย่าน Pak kok แล้วก็มีการสร้างตึกสูงผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาเข้าตลาดหุ้น และมีคนเข้ามาซื้อหุ้นมากมาย
จุดเปลี่ยนชีวิตของลีกาชิงที่ทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีของฮ่องกงจริงๆเลยก็คือ การเข้าซื้อหุ้นบริษัท ซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนหุ้น 22.4 % ทำให้เขาขึ้นไปนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัททันที และลีกาชิงนับเป็นคนจีนคนแรกที่เป็นประธานกรรมการของบริษัทข้ามชาติที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้ สิ่งที่ลีกาชิงทำนั้นดูเหมือนเขาเก่งไปทุกเรื่องจะเข้าไปตรงไหนก็ประสบความสำเร็จ บางคนถึงขนาดเรียกเขาว่า ซูเปอร์แมน
มหาเศรษฐีที่ไม่เคยอวดรวย
ว่าไปอาจไม่มีใครเชื่อ ลีกาชิงเป็นคนรวยที่สุดอันดับ 1 ในฮ่องกง แถมยังรวยอันดับ 2 ในทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวยถึงขนาดที่คนฮ่องกงเองยังพูดว่า “ทุกอย่างบนเกาะฮ่องกงเป็นของลีกาชิง” ซึ่งดูแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่ไปไหนต้องใช้รถหรู กินร้านแพง อาหารชั้นยอด ใช้ของแพงแบรนด์เนม แต่ไม่ใช่เลยลีกาชิงมีไลฟ์สไตล์ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาอย่างสิ้นเชิง เป็นคนรวยที่ไม่อวดรวย ไม่สำอางหรือพิถีพิถันเรื่องการแต่งกาย ของใช้ก็ใช้ราคาธรรมดาทั่วไป เสื้อผ้าก็ชุดเดิมๆ สูทตัดมาตัวหนึ่งใส่ไป 8 – 10 ปี ชีวิตการทำงานของเขาทุกคนจะเห็นชุดเดิมๆ นาฬิกาข้อมือเรือนเดิมๆ ที่ราคาไม่แพง และจะตั้งเวลาไว้เร็วกว่าเวลามาตรฐาน 10 นาทีเสมอ เพราะเขาจะได้ไม่ไปนัดสาย
เส้นทางชีวิตก็เหมือนหนังสือดีๆมีคุณภาพเล่มหนึ่ง คนโง่นั้นแค่พลิกผ่านๆไปทีละหน้าสองหน้าแบบไม่ใส่ใจ แต่สำหรับคนฉลาดนั้น จะตั้งอกตั้งใจศึกษาทุกๆหน้า เพราะเขารู้ว่าแต่ละหน้าของหนังสือเล่มนี้ พลิกผ่านไปแล้วก็ไม่มีวันพลิกกลับมาได้อีก
ลีกาชิง
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลีกาชิงอยู่ในใจของคนฮ่องกง ไม่ใช่แค่เรื่องสมถะ แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ขัน และความฉลาดในการเจรจามีวาทศิลป์ เขารู้จักวิธีการพูดคุย รู้จักการพูดให้กำลังใจ มีศาสตร์และศิลป์ในการใช้งานคน จึงไม่แปลกใจที่พอเขาประกาศลาวงการด้วยวัย 89 ปี จะกลายเป็นประเด็นที่ฮ่องกงและโลกต่างพูดถึง เพราะเขาเป็นไอดอลรุ่นดึกที่คนฮ่องกง อยากเป็นเหมือนเขานั่นเอง