HIGHLIGHTS

  • มาซาโยชิ ซัน คือ คนที่มี Passion แรงกล้าและมีความกล้ามากพอที่จะลองเสี่ยงกับความคิดของตนเอง โดยที่ไม่ว่าใครจะมองเขาแบบไหน เขาไม่สนใจ เขาขอมุ่งมั่นทำตามความเชื่อของตนเองจะมีวันนี้ได้
  • ความรู้ไม่ได้มีอยู่แค่ในห้องเรียนและตำรา การเรียนรู้มีอยู่ทุกที่ อยู่ที่คุณจะเลือกเรียนรู้แบบไหน และบทเรียนที่ดีที่สุดก็คือ บทเรียนที่คุณได้มีส่วนร่วมในทุก ๆขั้นตอนของการเรียนรู้ด้วยตัวคุณเอง
  • การลงมือทำโดยที่ไม่มีการคิดวางแผนอย่างรอบคอบ ก็เหมือนการว่ายน้ำอยู่ในทะเลมหาสมุทร ว่ายไปอย่างไร้ทิศทางและไม่รู้จุดหมาย แต่การให้เวลากับการคิด วางแผน ใคร่ครวญจนแน่ใจในแผนการเดินทางแล้ว ค่อยออกเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • คนเราทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่เจ็บปวด แต่จะมีสักกี่คนที่แปรเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายมาเป็นพลังในการดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าจนประสบความสำเร็จได้ มันอยู่ที่ว่าคุณรู้จักใช่พลังในด้านลบมาเปลี่ยนให้เป็นพลังในด้านบวกได้หรือไม่นั่นเอง

ถ้าเอ่ยถึงชื่ออาลีบาบา ทุกคนย่อมนึกถึงแจ็ค หม่า แต่ถ้าเราบอกว่า แท้จริงแล้วเจ้าของอาลีบาบาตัวจริงไม่ใช่แจ็ค หม่า คุณว่ามันประหลาดไหม ?

ชวนมารู้จัก มาซาโยชิ ซัน

ถ้า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) จัดว่าเป็นคนที่บ้าเรื่องอนาคตของโลกที่สุดคนหนึ่งในตะวันตก ชายที่ชื่อ ‘มาซาโยชิ ซัน’ (Masayoshi Son) นี่แหละก็ต้องเรียกว่าเป็นคนที่บ้าเรื่องอนาคตของฝั่งตะวันออกเลยทีเดียว แล้ว ‘มาซาโยชิ ซัน’ เป็นใครล่ะ ?

masayoshi-son-e1430929769227ดูจากชื่อแล้วคุณคิดใช่ไหมว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ชายคนนี้พื้นเพเป็นคนเกาหลีแต่อพยพไปอยู่ญี่ปุ่น และปัจจุบันนี้มาซาโยชิมีทรัพย์สินมูลค่ามากถึง 770,000 ล้านบาท และเป็นคนที่รวยที่สุดในญี่ปุ่น รวยแซงหน้า ทาดาชิ ยานาอิ เจ้าของร้านเสื้อผ้า UNIQLO ไปเรียบร้อยแล้วด้วย มาซาโยชิ ซัน เกิดปี 1957 พ่อแม่ของเขาเป็นคนเกาหลี แต่พ่อแม่ของเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลี พวกเขาอาศัยอยู่ที่เกาะคิวชูของประเทศญี่ปุ่น การเป็นเด็กที่ต่างเผ่าพันธุ์ ทำให้วัยเด็กของมาซาโยชิไม่ค่อยจะโสภาสักเท่าไหร่ เขามีความทรงจำที่ไม่ดีมากมาย การถูกสังคมมองว่าแตกต่าง การถูกล้อเลียนว่าไม่ใช่ญี่ปุ่นแท้ และการถูกรังแกโดยการปาหินใส่เพื่อขับไล่จากเพื่อนๆ ในโรงเรียนด้วยแค่เขาเป็นคนเกาหลี(ญี่ปุ่นกับเกาหลีนั้นมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ลงรอยกัน ทำให้คนญี่ปุ่นค่อนข้างแอนตี้คนเกาหลี อีกทั้งคนญี่ปุ่นมีความเป็นชาตินิยมสูง) สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นแรงผลักดันที่เปลี่ยนแปลงเขา ทำให้เขามีความคิดใหม่ เขาเปลี่ยนความเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรสักอย่างให้แตกต่างและเหนือกว่าคนทั่วไปจนนำมาสู่ การเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็น CEO บริษัท Softbank ในปัจจุบัน

จุดเปลี่ยนทางความคิด

sdut-sprint-suitor-son-stands-apart-in-sober-japan-2012oct16ภูมิหลังที่ขื่นขมเป็นตัวจุดประกายความคิดที่แตกต่างก็จริง แต่แค่นั้นคงทำให้มาซาโยชิ ซันหาความแตกต่างไม่พบแน่ สิ่งที่เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนความคิดและชีวิตของเขาจริง ๆ ก็คือ การได้พบกับ “เด็น ฟูจิตะ” นักธุรกิจญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จจากการนำแฟรนไชส์ Mcdonald มาเปิดที่ญี่ปุ่น ชายผู้นี้มีอิทธิพลทางความคิดแก่มาซาโยชิมาก เขาแนะนำให้มาซาโยชิพยายามสนใจเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งมาซาโยชิก็เชื่อเขาและก็พยายามตั้งใจศึกษาจนทำได้ดีในวิชานี้ และเท่านั้นยังไม่พอ เด็น ฟูจิตะ ยังเป็นเปิดโลกทัศน์ให้กับมาซาโยชิ โดยการแนะนำให้ไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วย ก็อีกเช่นเคยมาซาโยชิเห็นพ้องด้วย เขาจึงเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา เขาสอบติดมหาวิทยาลัย Berkeley และเลือกที่จะเรียนเศรษฐศาสตร์ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์ การได้มาเรียนที่อเมริกาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และ วิชาที่เลือกลงเรียน ทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขา มองโลกเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากสิ่งเหล่านี้ทำให้มาซาโยชิ มองเห็นอนาคต เขาเห็นทิศทางของโลก เขารู้เลยว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกและวิถีชีวิตของผู้คนในเวลาอีกไม่ช้า

เป็นนักธุรกิจตั้งแต่ยังเรียน

สำหรับมาซาโยชิ ซันแล้วเขาอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างของคนที่เป็นนักเรียนที่ดี แต่เขาคือตัวอย่างของนักธุรกิจที่ดี ความคิดหัวการค้าของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เขายังอยู่ในวัยเรียน เมื่อห้องเรียนเป็นแค่กรอบของการเรียนรู้ เขาจึงแสวงหาการเรียนรู้นอกกรอบ โดยเข้าไปพบกับห้องเรียนบนโลกจริงๆ ในหัวของมาซาโยชิตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ เขาหาช่องทางในการทำธุรกิจเสมอ ถึงขนาดจ้างคนมาเรียนแทน เพื่อที่ตัวเองจะได้ไปประชุมเรื่องธุรกิจ เขาเริ่มค้นหาคนเก่งมาเพื่อเป็นลูกมือช่วยผลักดันโปรเจคของเขาในการผลิตเครื่องแปลภาษา ส่วนเขาก็ติดต่อคอนเนคชั่นกับบริษัทที่จะส่งขาย และเมื่อเขาทำได้เขาก็ส่งผลงานของเขาไปขายให้กับ Sharp ในราคา 15 ล้านบาท และเอาเงินที่ได้มานี้ไปลงทุนต่อ โดยไปซื้อตู้เกมจากญี่ปุ่นมาวางไว้ที่มหาวิทยาลัยของเขา

ให้เวลากับความคิดที่ตกผลึก

sonmasayoshi-k2LH--621x414@LiveMintมาซาโยชิ ซัน มีความรอบคอบมาก เขาจะไม่ทำอะไรถ้าไม่แน่ใจ นั่นทำให้หลังจากเขาเรียนจบตอนปี 1980 แล้ว เดินทางกลับมาญี่ปุ่น เขาปล่อยชีวิตแต่ละวันผ่านไปกับการค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง เขาไม่ยอมไปสมัครงานหรือทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่างเดียว 18 เดือนเต็มๆที่เขาอยู่ว่างๆในสายตาของคนอื่น พ่อแม่เป็นห่วงเขามาก คนอื่นอาจจะมองว่าเขาว่าง เขาไม่ยอมทำงาน แต่สำหรับมาซาโยชิเองแล้ว เขากลับคิดว่านี่คืองานที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา คือ เขาต้องคิดให้มาก คิดจนกว่าความคิดจะตกผลึก และใช้เวลาทุกนาทีไปกับการค้นหาไอเดียที่เจ๋งจริงๆเท่านั้น และด้วยการทำอย่างนั้นเอง จึงทำให้เขาเกิดไอเดียในการสร้างบริษัท SoftBank บริษัทที่จะดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขายซอฟต์แวร์ เขาก่อตั้ง SoftBank ขึ้นมาตอนอายุ 24 ปี ใช้เงินลงทุนเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

วันนี้ของ SoftBank

SoftBank เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยวิสัยทัศน์และ Passion ที่มาซาโยชิ ซันมีต่อเรื่องของเทคโนโลยี ปี 1984 เขาได้เข้าไปครองส่วนแบ่งตลาด 50 % ในตลาดซอฟต์แวร์ในญี่ปุ่นได้ และเริ่มนำเงินไปลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีต่าง ๆ ในโลก เป็นจำนวนกว่า 600 ล้านบาท เช่น เข้าซื้อ Ziff-Davis Communications สื่อนิตยสารอเมริกันสายคอมพิวเตอร์ รวมถึง PC Magazine, ผู้ผลิตชิป Kingston และการเข้าไปถือหุ้นรายใหญ่ใน Yahoo ว่ากันว่าการที่ญี่ปุ่นมีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างที่เป็นทุกวันนี้ก็เพราะ บริษัท SoftBank ของมาซาโยชิ ซันนี่เอง และเท่านั้นยังไม่พอ เขาผู้นี้ยังคงเป็นคนเอา iPhone เครื่องแรกเข้ามาให้คนญี่ปุ่นได้ใช้กันด้วย

q_Masayoshi Sonนับตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา SoftBank ได้มีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีต่าง ๆ กว่า 145,000 ล้านดอลลาร์และปี 2017 ที่ผ่านมาก็ได้มีการลงทุนอีกกว่า 37,000 ล้านดอลลาร์ ในกว่า 40 บริษัท โดยลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจ ride-sharing อย่าง Uber Grab กลุ่มCo-Working Space อย่าง “We Work” และที่สำคัญไปกว่านั้น SoftBank ของมาซาโยชิ ซันนี่เอง ที่เป็นผู้ให้เงินทุนก่อนแรกแก่ แจ็ค หม่า จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการสร้างอาณาจักรธุรกิจอาลีบาบา เพราะเขามองออกว่าแจ็ค หม่า แน่ขนาดไหน ซึ่งทำให้หุ้นในอาลีบาบาคนที่ถือครองมากสุดก็คือ มาซาโยชิ ซันนี่เอง หาใช่แจ็ค หม่า อย่างที่เราเข้าใจกัน ฉะนั้น หากจะบอกว่าแท้จริงแล้วอาลีบาบา ไม่ใช่ของแจ็ค หม่า ก็คงกล่าวได้

ปัจจุบัน SoftBank ยังคงเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงได้ร่วมลงทุนกับ Startup มากมาย อย่างต่อเนื่อง มาซาโยชิ ซันปัจจุบันก็อายุปาเข้าไป 60 แล้ว เขายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงทุนในเทคโนโลยีเลย ในขณะที่การเดินหน้าลงทุนแบบนี้ก็ก่อหนี้สินให้บริษัทมหาศาลเป็นจำนวน 4 ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว มาซาโยชิ ซันก็ยังไม่หยุดที่จะเดิน เขาผู้นี้เป็นสิ่งที่สะท้อนอำนาจของ Passion ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดจริงๆ

ภาพบางส่วนจาก : sandiegouniontribune.com