คุณรู้ไหมว่าพี่ไทยเรามียอดผู้ใช้ Facebook ติด Top 5 ของโลกและตัวเลขคร่าวๆเราอยู่ที่ อันดับ 2 ของโลกเป็นรองก็แค่ญี่ปุ่นเท่านั้น ที่สำคัญพี่ไทยเรากวดหมดทุกอย่าง Facebook, IG, Line, Twitter พี่ไทยเราเอาหมด จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่นะที่พวกเราคนไทยสนใจในเทคโนโลยี เพราะนั่นแสดงให้เห้นถึงการปรับตัวของพวกเรา แต่…เราควรจะต้องทบทวนดูตัวเองกันด้วยว่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เราใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่าง “สร้างสรรค์” และมีคุณภาพหรือไม่ มาดูอาการแปลกแปร่งที่เกิดจากชีวิตติดโซเชียลกันดีกว่า ใช้ยังไงให้ได้งาน ได้เงินได้อาชีพเลี้ยงตัวและไม่เสียเพื่อน
1.เช็กเรตติ้ง
อาการนี้เกิดจากการเฝ้าติดตามสเตตัสของตัวเองอย่างใกล้ชิด หลังโพสต์อะไรไปก็จะคอยเฝ้าดูว่า มีคนมากด Like ให้หัวใจกันเท่าไหร่ กระหน่ำกดกันมากก็ดีใจมาก มาหรอมแหรมก็แอบน้อยใจ…อืม…อย่าประมาทไป นี่คงเป็นอาการระดับโลกพอสมควร เพราะไม่ใช่แค่คุณหรือคนไทยเราเท่านั้นที่เป็น ผู้ใช้ Facebook ทั่วโลกก็มีอาการไม่แตกต่างกัน ล่าสุด Facebook ถึงขั้นคิดว่า จะมีปุ่ม “Sympathize” หรือ ปุ่ม “เห็นใจจัง” ให้เลือกกดแทนปุ่ม Like ดีหรือไม่ เพราะบางทีคนโพสต์เรื่องหมาแมวตาย แหม่…เพื่อนฝูงก็อึดอัดใจนะที่จตัดสินใจกด Like ให้ เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็ก้ำกึ่งในอารมณ์ ไม่รู้เขาโพสต์เล่นโพสต์จริงจังอย่างไร บางคนหนักกว่านั้นโพสต์เรื่องงานของตนเอง คือ แนวว่าจะขายของนั่นแหละเพราะทำธุรกิจออนไลน์ แต่ไม่รู้จะขายใครโพสต์ลอยๆให้เพื่อนได้เห็น ใครเข้ามากด Like ล่ะก็เสร็จโก๋ เธอต้องซื้อสินค้าของฉันด้วยนะ แบบนี้เพื่อนฝูงอึดอัดใจแน่นอน นั่นทำให้บางทีเพื่อนก็ไม่กดปุ่มอะไรเลย คนโพสต์เลยพานน้อยใจว่าเพื่อนไม่แคร์…ซะงั้นไป
อืม…จะว่าไปแล้วปัญหานี้จะไม่เป็นปัญหาด้วยซ้ำ ถ้าเราแยกแยะให้ดี ใครเริ่มมีอาการนี้ คงต้องบอกว่าถอยมาดูตัวเองกันสักหน่อย และ “หยุด”เชื่อมโยงความรักของเพื่อน งาน และการทำธุรกิจของตนเอง ผ่านการคลิก Like ได้แล้ว เพื่อนฝูงญาติโยมไม่จำเป็นต้องมารายงานตัวหรือ เป็น “เหยื่อ” การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านการคลิก Like ของเรานะ ใครอยากอ่านแล้วผ่านไปนั่นก็เป้นสิทธิ์ของเขา รักและมิตรภาพของเรายังคงอยู่ มันไม่ใช่ปัญหา แต่คุณนั่นแหละที่กำลังทำให้มันเป็นปัญหา ปรับความคิดได้เมื่อไหร่ จะโพสต์วันละกี่ทีก็จะมีความสุขทุกครั้งที่โพสต์จ้า
2.คิดก่อนแชร์
อาการ Copy Paste หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “แปะแชร์” กำลังกัดกร่อนสังคมเราเอาการทีเดียว ข้อมูลแปะแชร์นี่มันกำลังรกโลกโซเชียลกันมากๆ มันคัดลอกกันมาเหมือนเครื่องถ่ายเอกสารทำสำเนาแล้วสำเนาเล่า พอมารู้สุดท้ายข้อมูล “ผิด” คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ผู้รับกรรมก็คือคนที่อยู่ในเรื่องนั้นๆ บางทีถูกด่า ถูกสาปแช่งจากสังคมไปเรียบร้อย โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย และยิ่งใครทำธุรกิจออนไลน์ผ่านโซเชียล ถ้าเป็นในนามส่วนตัวอาจจะยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นในนามแบรนด์ของตัวเองหรือองค์กรของตัวเองนี่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะจะกระทบกับภาพลักษณ์ในธุรกิจของคุณไม่น้อยยทีเดียว บางทีข้อมูลผิดๆที่แชร์กันนั้นมากกว่าร้อยครั้ง จนยากเกินกว่าจะหาต้นต่อจุดเริ่มต้นของเรื่องจะโทษใครก็ไม่ได้แล้ว มันเสียไปทุกทาง นั่นจึงทำให้ต้องตั้งคำถามกระแทกใจกันอีกครั้งว่า เมื่อไหร่ที่เราพร้อมจะ “เทใจเชื่อ” และ “ปักใจเม้นต์” กับทุกข้อความที่แชร์กันมา คุณควรจะต้องดึงสติกันนิดนึงก่อนถ้าเห็นอะไรเลื่อนมาให้คุณดูบนโลกโซเชียล โลกในตอนนี้กำลังถูกกัดกร่อนจากภาวะที่เรียกว่า “ขาดการกลั่นกรองข้อมูล” ซึ่งบางทีก็ทำให้เราอดนึกย้อนไปถึง “หนังสือ” ไม่ได้ เมื่อก่อนไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ เราใช้แต่หนังสือและกระดาษ ข้อมูลต่างๆก่อนจะถูกตีพิมพ์ต้องผ่านการกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน ตรวจแล้วตรวจอีกเช็คแล้วเช็คอีกจนมั่นใจ และแค่นั้นยังไม่พอยังมีรายชื่อผู้ที่ต้องรับผิดชอบในข้อมูลนั้นๆ ที่มาต่างๆระบุไว้พร้อม คือ ถ้าผิดก็หาต้นตอได้ว่าผิดจากใคร
แต่ก็เอาเถอะ โลกเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลก ซึ่งมันก็ถูกแล้ว แต่ก่อนที่จะแชร์อะไร ขอให้ฉุกคิดเสียก่อน ก่อนที่จะเม้นต์อะไรก็ขอให้แน่ใจก่อนว่าข้อมูลมัน “ชัวร์” เพราะนี่คือหนึ่งในความรับผิดชอบที่เราควรมีร่วมกันในสังคมโซเชียล
3.โปรดรักษามารยาท
ไม่ว่าจะโพสต์รูปหรือจะเป็นการแชร์อะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากก็คือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความสุภาพต้องคิดถึงก่อนเป็นอันดับแรก ในโลกโซเชียลเริ่มมีความหยาบคายมากขึ้นทุกวัน เพราะคิดว่าเป็นการสื่อสารโดยที่ไม่ต้องเห็นหน้า เจอกันแค่ตัวอักษรทำให้เกิดอาการ “นิ้วคะนอง” กันได้ง่าย เอะอะก็มือลั่น จนเกินเลยกาลเทศะและความถูกต้อง ขอบอกว่า “ความสุภาพ” คือสิ่งที่ชาวโลกโซเชียลโหยหากันมากในยามนี้ ยิ่งถ้าทำธุรกิจออนไลน์ผ่านโซเชียล ความสุภาพยิ่งสำคัญเป็นเท่าทวี เอ้า! แม้จะไม่มีใครลดค่าเน็ตให้เรายามเราสุภาพ แต่ก็ควรฝึกระงับอารมณ์แชร์ไม่ยั้งที่พลุ่งพล่านกันสักหน่อยก็ดี เมื่อไหร่เริ่มรู้สึกเครียด เพราะเสพข้อความ ข้อมูล หรือรูปภาพในโลกไอทีมากไป จง “เงยหน้า” สูดหายใจลึกๆ พักตาจากหน้าจอ ปล่อยวางมือจากคีย์บอร์ดและสมาร์ทโฟน หันหน้ามองไปรอบๆตัว เพื่อกลับมาสู่ “โลกมนุษย์” และสัมผัสกับ “โลกแห่งความจริง” ซะ…ไลฟ์สไตล์ก้มเสพข้อความกันทุกๆสองนาทีคือการดึงดูดความเครียดมาสู่ใจอย่าลืมพักตา พักใจบ้างนะ
4.อาหารตา อาหารสมอง
ลองหาสิ่งดีๆ ให้กับหน้า Timeline Facebook ของตนเองบ้างก็ดี แทนที่จะมีแต่รูปอาหารที่เพื่อนๆคอยอัพให้น้ำลายไหลเล่น หรือมีแต่รูปสินค้าที่ตนเองอยากขาย หรือเรื่องราวเกี่ยวกับุรกิจออนไลน์ที่ตนเองทำ ลองเลือกเว็บความรู้ที่ชอบ ถ้าเว็บนั้นมี Facebook Fan page ก็เข้าไปกด Like กดติดตามเขาสักหน่อย เท่านี้คุณก็จะได้ข้อมูลดีๆประเทืองปัญญาทำให้รู้จักโลกของเราในแง่มุมอื่นมากขึ้นได้เห็นโลกในมุมที่ต่างไปแล้ว ถ้าไม่รู้จะไปเว็บไหนก็ไม่ใกล้ไม่ไกล passiongateway.com แฟนเพจของเราก็ได้ก็ได้นะ สาระและความรู้ความบันเทิงมากมายพร้อมเป็นอาหารสมองให้คุณอยู่แล้ว
ในเมื่อมนุษยโลกพาตัวเองไป “ใช้ชีวิต” ในโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกวัน มาอยู่กันให้สร้างสรรค์และมีคุณภาพกันดีกว่านะ