23 ชั่วโมงกับการขยับตัวที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

     เด็กยุคใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิตอลออนไลน์ พวกเขาใช้สมาร์ทโฟนเป็นตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่เลยด้วยซ้ำ แม้ในแง่หนึ่งจะเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่านั่นมันผิดธรรมชาติ

โอโมเผยความจริงที่มากกว่าความขาว

omo-the-least-active-kids-in-history-600-97016     การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันนั้นมีการแข่งขันที่สูงมาก และที่สำคัญการทำธุรกิจต้องยึดโยงเรื่องของสังคมให้มากขึ้นด้วย โอโมแบรนด์ผงซักฟอกที่เป็นสัญลักษณ์ของความขาวสะอาดก็เข้าใจสถานการณ์ดี พวกเขาไม่เอาแต่ทำธุรกิจแบบไม่สนใจใครอีกต่อไปแล้ว แบรนด์โอโมเริ่มใช้กลยุทธ์การทำธุรกิจที่แยบยลได้ผลดีและแถมกระตุ้นการตื่นตัวของสังคมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

The_Least_Active_Kids_Ever     ด้วยแนวคิดเปื้อนอย่างไรก็ขาวได้ของโอโม นำไปสู่ไอเดียที่ลึกซึ้งกว่านั้น โอโมพยายามใช้กลยุทธ์ธุรกิจที่เหนือชั้นเจาะลึกลงไปในครอบครัว ดูพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งพวกเขาพยายามเน้นไปที่จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ว่าผงซักฟอกของพวกเขาขจัดได้ทุกคราบ เปื้อนแค่ไหนก็ขจัดได้ ยิ่งโดยเฉพาะเสื้อผ้าของเด็กๆที่มักจะซุกซนเสียเหลือเกินเปื้อนได้ทุกวัน แต่ถ้ามีโอโมซะอย่างหายห่วงได้ นี่คือจุดเริ่มต้นที่แสนธรรมดา หลังจากการส่งเสริมการตลาดในทำนองนี้ออกไปสักพัก ตลาดก็ดูเริ่มจะตัน โอโมจึงศึกษาเจาะลึกลงไปอีกก็พบว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของเด็กๆนั้นแตกต่างไปจากที่พวกเขาเข้าใจ เมื่อก่อนเด็กๆมีการออกไปวิ่งเล่นและทำกิจกรรมนอกบ้านหนึ่งวันหลายชั่วโมง แต่ในทุกวันนี้เด็กๆจะออกไปเล่นและทำกิจกรรมนอกบ้านเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสภาวะแวดล้อมรอบๆบริเวณบ้านและที่อยู่อาศัยเริ่มไม่ปลอดภัย ทั้งเรื่องของอุบัติเหตุจากยานพาหนะและอาชญากรรม และที่เป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดเลยก็คือ เทคโนโลยี ทีวี คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์โฟน สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเองก็ไม่อยากออกจากบ้านเพราะความสนใจของเด็กต่อเรื่องอื่นๆน้อยลงนั่นเอง ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะการที่เด็กขลุกอยู่แต่ในบ้านและสนุกอยู่กับเทคโนโลยีแบบนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพและลักาณะการใช้ชีวิตของเด็กๆเป็นอย่างมาก เด็กมีความเสี่ยงที่จะสายตาสั้น โรคอ้วน กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีพฤติกรรมและอารมณ์ที่รุนแรง และมีปัญหากับการเข้าสังคมมากขึ้น คุณลองคิดดูถ้าเยาวชนของประเทศต้องมาเป็นคนด้อยคุณภาพแบบนี้ ประเทศชาติจะน่าเป็นห่วงสักแต่ไหน

จับตาลูกน้อยของคุณไว้ให้ดี

CS73515304     ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้จุดเริ่มต้นที่เป็นสาเหตุใหญ่ๆเลย ไม่ใช่เทคโนโลยีที่พัฒนาเร็วเกินไป แต่กลับเป็น “คน” นี่แหละที่พัฒนาช้าเกินไป พ่อแม่มักจะตามเทคโนโลยีไม่ค่อยทัน “ตามไม่ทัน” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้จักหรือใช้ไม่เป็น แต่หมายถึงการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยอย่างไม่ถูกทาง ทัศนคติของพ่อแม่ยุคนี้ที่มีต่อเทคโนโลยีมองว่าทีวี คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่จะมองว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็น “เครื่องมือเลี้ยงลูก” พ่อแม่ต้องยุ่งอยู่กับการทำงาน เวลาที่จะดูแลและเล่นกับลูกน้อยลง เวลาลูกมางอแงขออยู่ด้วยขอเล่นด้วย พ่อแม่ก็จะรู้สึกว่า “ลูกมาไม่ถูกเวลา” พวกเขาจึงตัดรำคาญด้วยการยัดเทคโนโลยีเหล่านั้นไปให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้สงบและมีเพื่อนตนเองก้จะได้ทำงานได้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งนานวันเข้า เด็กๆกลับเริ่ม “เสพติดเทคโนโลยี” การอยู่ในบ้านก็สนุกได้ไม่จำเป็นต้องออกเป็นเล่นนอกบ้าน ซึ่งพ่อแม่เองก็เห็นดีด้วย มีงานวิจัยหนึ่งของดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดเผยออกมาว่า “พ่อแม่ยุคใหม่ของดูไบต้องการให้ลูกอยู่บ้านมากกว่าเพื่อความปลอดภัย” นั่นจึงทำให้เด็กๆต้องอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินความจำเป็น เด็กๆออกจากบ้านไปทำกิจกรรมนอกบ้านเพียง 1 ชั่วโมง/วัน หลังจากนั้นอีก 23 ชั่วโมงล่ะ 23 ชั่วโมงนั้นเด็กๆจะต้องอยู่กับเทคโนโลยีกว่าอีกครึ่งนอกจากนั้นก็เป็นเวลานอน

     สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพครอบครัวยุคใหม่ในโลกดิจิตอลได้ชัดเจน เด็กๆแทบจะอยู่กับเทคโนโลยีตลอดเวลา แม้อยู่โรงเรียนหลักสูตรการเรียนการสอนบางประเทศก็ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เด็กๆจึงได้แต่นั่งๆนอนๆ ไม่ได้ขยับร่างกาย ถ้าเป็นแบบนี้สุขภาพของเด็กจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เช่นกัน จึงเป็นคำถามสำคัญว่าคุณๆทั้งหลายกำลังปล่อยให้บุตรหลานของเราเป็นแบบนี้กันบ้างหรือไม่

ความขาวที่สะท้อนจนทำให้แสบตา

children-playing     ทางโอโมได้เปิดประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจ และพวกเขาก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้ รีบเดินหน้ากลยุทธ์การทำธุรกิจสุดล้ำ ไหนๆเดินมาแล้วก็ขอกระหน่ำให้สุดๆไปเลยดีกว่า พวกเขาร่วมกับMcCann World Group และ FP7 จึงร่วมกันคิดและจัดทำโฆษณาออกมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีการร่วมสมัยมากๆ คือ จัดทำโฆษณาออกมาเป็นแบบไลฟ์สตรีมหรือถ่ายทอดสดผ่าน  Facebook Live และ YouTube Livestream โดยใช้ชื่อโฆษณาชิ้นนี้ว่า The Least Active Kids Ever แปลเป็นไทยได้ว่า เด็กที่แอคทีฟน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเป็นการไลฟ์สดที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติศาสตร์นั่นคือไลฟ์สดนานถึง 23 ชั่วโมงแบบต่อเนื่อง ซึ่งเผยให้เห็นว่าเด็กคนที่อยู่ในโฆษณาชิ้นนี้ เอาแต่นั่งๆนอนๆ อยู่กับเกม และทีวี แทบไม่ได้ขยับไปไหนเลย โฆษณาไลฟ์สดนี้ปล่อยไปเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น โลกโซเชียลที่ดูไบก็ร้อนระอุแบบเตาเผาขึ้นมาทันที Comment มากมายที่ไหลบ่า เสียงวิจารณ์ที่กระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งล้วนเป็นไปในแง่ของการสนทนาแชร์ความรู้สึกประสบการณืของพ่อแม่และคนในครอบครัวที่มีเด็กเล็กอยู่ที่ผ่าน พวกเขาประสบปัญหาและชะตากรรมเดียวกันอย่างกับที่โฆษณาชิ้นนี้ได้สะท้อนความจริงออกมา โอโมได้นำความขาวของพวกเขาสะท้อนเข้าตาพ่อแม่ผู้ปกครองทั่วดูไบ จนอาจจะเรียกว่าทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เป็นการสะท้อนที่ทำให้พ่อแม่ทั้งหลายต้องแสบตากันเป็นแถวๆ เมื่อตบหน้าพ่อแม่ในดูไบไปฉาดใหญ่แล้ว ทางโอโมก็ไม่ใช่ว่าตบแล้วเดินจากไปพวกเขามอบทางออกที่ดีให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองในดูไบด้วย โดยได้ร่วมมือกับ kidsFIRST Medical Center (KFMC) คลีนิคเด็กชื่อดังในสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์  จัดทำContent ให้ความรู้ดีๆ ในการดูแลลูกในยุคดิจิตอล มีรูปแบบกิจกรรมหลากหลายรูปแบบให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองนำไปปรับใช้กับลูกๆ เพื่อให้มีกิจกรรมร่วมกัน นอกจากจะช่วยทำให้เด็กๆมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในสถาบันครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย

     พวกเราทุกคนเคยผ่านวัยเด็กมาแล้ว เราสนุกกับการได้กระโดดโลดเต้นอย่างไร เด็กๆทุกวันนี้ก็คงต้องการความสนุกแบบนั้นเหมือนกัน ลองนำไปพิจารณากันดูนะ อย่างน้อยๆก็เพื่อสุขภาพของเด็กๆนั่นเอง