คุณเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า เหตุผลที่ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณคืออะไร? ไม่ใช่เพราะผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการหรอก แต่พวกเขาซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณเพราะองค์ประกอบหลายๆอย่างทั้งคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ บริการ และปัจจัยทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมอีกหลายอย่างประกอบกันขึ้นมาเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจลูกค้า และทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ ซึ่งในบางครั้ง ทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้ารู้ว่ามีอยู่ หรือบอกได้ว่าต้องการด้วยซ้ำไป ยิ่งในยุคนี้ที่น่าสนใจก็คือ คนซื้อเพราะ brand story แบรนด์มีเรื่องเล่าที่ดี สินค้าหรือบริการมี story ที่น่าสนใจทำให้พวกเขามองเห็นคุณค่าจึงตัดสินใจซื้อ
ตัวอย่างที่ดีของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ brand story ได้ดีและประสบความสำเร็จในระดับโลกเลยก็คือ Starbucks ซึ่งพวกเขามีการ storytelling หรือใส่เรื่องราวลงไปในทุกส่วนของธุรกิจ ทุกสินค้าและบริการจาก Starbucks มีแบรนด์ story ใส่ไว้เสมอ อย่างจุดเริ่มต้นของ Starbucks ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นทุกวันนี้ก็เป็น brand story แล้ว ในปี ค.ศ. 1983 Starbucks เป็นเพียงบริษัทที่ทำธุรกิจร้านขายกาแฟในเมือง Seattle เท่านั้น แต่ในระหว่างที่ Howard Schultz ผู้ก่อตั้งและ CEO คนก่อนของ Starbucks ไปเที่ยวอิตาลี เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศที่แสนโรแมนติกและความรู้สึกดีๆในการเข้าไปนั่งในร้านกาแฟสไตล์อิตาเลียน เขารู้สึกว่าวัฒนธรรมของที่นั่นดึงดูดสนใจของเขา และเขาก็เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากสิ่งนี้ทันที
จากจุดนั้นทำให้ Howard Schultz กลับมาพัฒนา Starbucks ในแบบที่เราทุกคนเห็นหันอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นว่า brand story แค่นิดเดียวก็ทำให้แบรนด์ดูมีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้นทันที และ Howard Schultz ก็ไม่หยุดที่จะเล่าเรื่องเขานำแบรนด์ story ใส่ไว้ในทุกอย่างที่เป็น Starbucks เสมอ เขาเคยกล่าวไว้ว่า
“แน่นอน Starbucks ขายเมล็ดกาแฟชั้นเยี่ยม แต่เราก็ไม่ได้ขายแค่กาแฟใส่แก้วแล้วจบไป เรานำทำกาแฟของเราให้มีชีวิตโดยการใส่ storytelling ลงไป ทำให้คนรู้สึกว่ากาแฟเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเขามากขึ้น”
จากการใส่ storytelling ลงไปในทุกอย่างที่เป็น Starbucks จึงกลายเป็นวัฒนธรรมร้านกาแฟแบบที่เปิดกว้างสไตล์ Starbucks อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน และวันนี้แบรนด์กาแฟอันยิ่งใหญ่นี้ก็ยังไม่หยุดที่จะเล่าเรื่องของพวกเขา แบรนด์นี้มีความก้าวหน้าไปอีกขั้นตรงที่สามารถนำ brand story มาพัฒนาต่อยอดให้ไม่ซ้ำซากจำเจ เกิด movement ที่สอดรับกับสถานการณ์และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ brand story ของธุรกิจไม่เก่าและไม่มีวันตาย
เช่น การขายแก้วและของสะสมเพิ่ม ทั้งๆที่พวกเขาสามารถทำรายได้จากเครื่องดื่มในร้านอย่างเดียวก็สูงถึง 14.46 พันล้านเหรียญสหรัฐแล้วในปี 2018 แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าแก้วและของสะสมก็มีคนสนใจมาก แม้ในบ้านเราก็ให้การตอบรับอย่างมาก จนถึงขนาดเกิด #ของมันต้องมี เป็นกระแสใน Social Media อยู่พักหนึ่ง
โดยที่แก้วและของสะสม สามารถทำรายได้ให้กับ Starbucks สูงถึง 3.06 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 เลยทีเดียว ปัจจัยใหญ่ที่ทำให้คนสนใจสินค้าเหล่านี้ของ Starbucks ด้วยก็เพราะว่า ทุกอย่างมี brand story ใส่เอาไว้อยู่เสมอ ทั้งสไตล์ แนวคิด คอนเซ็ปต์ ถูกรวมเอาไว้ในสินค้าเหล่านั้น ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความหรูหรา คมเข้มสไตล์ Starbucks ได้ตลอดเวลานั่นเอง จึงต้องกล่าวว่านี่คือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงพลังของ brand story ที่เมื่อนำไปใส่กับผลิตภัณฑ์ใดๆก็ทำให้สิ่งนั้นมีมูลค่าเพิ่มเสมอ
ใครที่กำลังต้องการจะสร้างแบรนด์ธุรกิจ ก็แนะนำว่า ควรจะคิดถึงเรื่องการสร้าง brand story เอาไว้ด้วย เพราะนี่คือสิ่งที่จะช่วยกำหนดทิศทางของแบรนด์ และ จะทำให้แบรนด์ธุรกิจมีอัตลักษณ์และมีคุณค่าในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น
Photo Credit : Facebook Starbucks Thailand