การทำธุรกิจในยุคสมัยนี้ การก้าวไปคนเดียวเดี่ยวๆจะประสบความสำเร็จได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ธุรกิจสมัยใหม่ต่างอยู่ได้ด้วยการมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจ หรือ หุ้นส่วนด้วยกันทั้งสิ้น SOS คือแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่มีความแตกต่าง เพราะเป็นแบรนด์ที่ทำธุรกิจแบบ ‘มัลติแบรนด์’ จนประสบความสำเร็จ เป็นหนึ่งตัวอย่างของการทำธุรกิจแบบมีพาร์ทเนอร์แล้วเติบโตอย่างก้าวกระโดด
รู้จักกับการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์
SOS หรือในชื่อเต็มก็คือ เซนส์ ออฟ สไตล์ (SENSE OF STYLE) เป็นร้านๆหนึ่งที่ใช้สไตล์การทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ ทีนี้หลายคนอาจสงสัยว่ามัลติแบรนด์มันคืออะไร อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ มัลติแบรนด์ก็คล้ายๆการเปิดห้างสรรพสินค้า ในห้างสรรพสินค้าจะต้องมีสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ มาเปิดร้านขายของภายในห้าง มัลติแบรนด์ก็เป็นแบบนั้นแต่องค์ประกอบเล็กและชัดเจนกว่า คือ รวบรวมสินค้าประเภทเดียวกันจากแบรนด์ต่างๆที่ขายกันอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะขายผ่านเว็บไซต์ Facebook IG หรือ Line@ มาไว้ในร้านเดียว รายได้ของธุรกิจนี้จะมาจากการจ่ายค่าเช่าพื้นที่ของเจ้าของแบรนด์ และ เปอร์เซ็นต์ของราคาขายสินค้าแต่ละชิ้น ซึ่งเจ้าของแบรนด์ไม่ต้องดูแลสินค้าที่เอามาวางเอง คือเจ้าของพื้นที่จะมีระบบสต๊อกของ พนักงานขาย และพื้นที่โชว์สินค้าดูแลให้อย่างครบวงจร
จากปัญหาที่เหมือนกัน นำพาไปสู่ทางออกร่วมกัน
SOS หรือ SENSE OF STYLE มีจุดเริ่มต้นในช่วงแรกจากคน 4 คนเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากมีธุรกิจส่วนตัว จึงร่วมกันคิดและก็หาแนวร่วมจนได้เพื่อนๆเพิ่มมาอีก 5 กลายเป็น 9 คน และหนึ่งในนั้น ก็คือ สน ยุกต์ ดารานักร้องชื่อดังด้วย เมื่อพลังของคนรุ่นใหม่ทั้ง 9 ได้มาร่วมหารือกัน ก็ทำให้ทุกคนทราบว่า ต่างฝ่ายต่างก็อยากมีธุรกิจส่วนตัว แต่การจะขายสินค้าใดๆ ก็มีปัจจัยและปัญหาที่หลากหลาย การมีหน้าร้านก็แบบหนึ่ง การขายออนไลน์ก็แบบหนึ่ง โดยเฉพาะการขายสินค้าออนไลน์นั้น ปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ใครๆก็ทำกันได้ จนทำให้เกิดพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เพียบ ช่องว่างทางการตลาดก็ค่อยๆแคบลงไปเรื่อยๆ มีแบรนด์มากมายเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ การจะสร้างแบรนด์ใหม่และลงไปแทรกนั้นไม่ง่ายเลย ซึ่งคนทั้ง 9 มีความสนใจที่คล้ายๆกันคือมีความสนใจเรื่องแฟชั่นเมื่อมองปัญหาแล้วจึงมาวิเคราะห์ร่วมกันว่า
- สินค้าแฟชั่นบนกับช่องทางการตลาดบนโลกออนไลน์เริ่มตีบตัน
- ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย
- แบรนด์สินค้าแฟชั่นหลายแบรนด์มีศักยภาพในตัวเอง แต่ไม่สามารถขยายไปเปิดหน้าร้านของตัวเองได้เนื่องจากปัญหาเรื่องพื้นที่ทำเลไม่ดี และมีค่าใช้จ่ายสูง
คนรุ่นใหม่ทั้ง 9 นี้จึงเกิดไอเดียว่า น่าจะนำแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่มีศักยภาพเหล่านี้มารวมตัวกัน และ ก็จัดศูนย์รวมให้พวกเขา ภายใต้แบรนด์ใหม่โดยที่พวกเขาก็มีเสียแบรนด์เก่าไป คือ หาพื้นที่เปิดร้านให้แบรนด์สินค้าออนไลน์นำสินค้ามาลงวางขาย โดยแชร์ค่าเช่าที่ จึงเกิดเป็น SOS และการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ขึ้นมานั่นเอง
จากเล็กไปสู่ใหญ่
ช่วงเริ่มต้นธุรกิจของ SOS นั้นหลังจากทีมได้ติดต่อแบรนด์สินค้าแฟชั่นต่างๆไปมากมาย ใช่ว่าจะบูมเลย เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนเชื่อใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตอนเริ่มต้นมีแบรนด์สินค้าแฟชั่นมาเข้าร่วมเพียง 20 – 30 เจ้าเท่านั้น ทีมงานของSOS นั้นทำงานกันหนักมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ติดต่อแบรนด์สินค้าแฟชั่นออนไลน์ไปกว่า 200 ราย แต่เอาเข้าจริงมีคนมาร่วมเพียง 10 % เท่านั้น ปัญหาตรงนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความใหม่และยังไร้ประสบการณ์การทำธุรกิจของทีมด้วย SOS จึงชะลอเครื่องค่อยๆขยับไปทีละก้าว เพื่อรอจังหวะและโอกาส ในระยะเวลาที่รอจังหวะนั้นก็สร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในระบบการทำธุรกิจนี้ไปด้วย และเมื่อเวลามาถึง จากแบรนด์ที่เข้าร่วม 30 แบรนด์ก็ค่อยเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วม และกลายเป็น 500 แบรนด์ในที่สุด
หัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ ต้องไม่ไร้พาร์ทเนอร์
ระบบการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ของ SOS นั้น หัวใจสำคัญเลยก็คือ การมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เพราะเรามีความเก่งในแบบของเรา ส่วนธุรกิจอื่นหรือแบรนด์อื่นๆก็มีข้อดีในแบบของเขาที่แตกต่างจากเราไป เราไม่สามารถที่จะทำทุกอย่างให้ครบวงจรได้ในหนึ่งเดียว แล้วแบบนี้ทำไมเราไม่รวบรวมความเก่งของอีกฝ่ายเข้ามาหาเราด้วยล่ะ ให้ความเก่งความชำนาญเกื้อหนุนกันและกัน จึงจะต่อสู่ฝ่าฟันตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร SOS มองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้และหยิบจับมาใช้อย่างถูกต้อง จึงทำให้แบรนด์ SOS ใช้เวลาเพียง 3 ปี ขยายธุรกิจออกไปได้ถึง 8 สาขา กระจายตามย่านช้อปปิ้งทั่วกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ และสามารถแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มคือแบรนด์ SENSE (เซนส์) ขึ้นมาได้อีกหนึ่งแบรนด์ด้วย นี่จึงสะท้อนถึงความสำคัญของการมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน SME อาจจะเล็กและมีกำลังน้อยถ้าต้องการเติบโต ลองรวม SME รายอื่นเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจก็อาจจะทำให้เกิดการเติบโตขยายเป็นธุรกิจที่ใหญ่มากขึ้นได้
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งนอกจากการมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจแล้ว ต้องมีความชัดเจนในกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเรากับพาร์ทเนอร์ต้องมีเป้าหมายเดียวกันหรือมีความใกล้เคียงกันให้มากที่สุด อย่าง SOS จะรวบรวมแบรนด์ธุรกิจต่างๆเข้าหากันได้ ตนเองก็ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายกลุ่มที่ตนเองต้องการนั้นเป็นแบบไหน สินค้าแฟชั่นน่ะใช่ แต่เป็นแฟชั่นสำหรับคนกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ เมื่อเลือกแล้วก็ค่อยมองว่าพาร์ทเนอร์ธุรกิจแฟชั่นหรือเจ้าแบรนด์สินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าในกลุ่มเดียวกัน ทุกอย่างจึงแมทช์กันลงตัวนั่นเอง
โอกาสของการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์
การทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ในไทยนั้นต้องยอมรับว่าเติบโตช้าลงในปีนี้ ถ้าย้อนไป 2 – 3 ปีก่อนการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ถือว่าโตอย่างก้าวกระโดมาก แต่ปัจจุบันในแต่ละเดือนจะมีคนทำธุรกิจแบบมัลติแบรนผุดขึ้นมา 2 – 3 ราย อีกทั้งปัญหาพื้นที่ทำเลย่านช้อปปิ้งของคนเมืองหรือตามหัวเมืองใหญ่ในตอนนี้ถูกจับจองไปหมด นักลงทุนและพัฒนาที่ดินหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจแบบมัลติแบรนด์น่าจะโตช้าลงทันที แต่สำหรับตลาดต่างประเทศแล้วการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์ยังมีโอกาสอยู่มาก จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ต้องการจะเข้ามาลองใช้เทคนิคหรือกลยุทธ์ในการทำธุรกิจแบบมัลติแบรนด์