“หวานสิดี ก็คนกำลังอินเลิฟ” ฮึ้ย!! ผิดประเด็นแล้ว เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องเลิฟๆที่ต้องคอยเติมหวาน แต่เรากำลังจะกล่าวถึงเรื่องของ ความหวานในอาหารและเครื่องดื่มที่เรากำลังบริโภคเข้าไปในแต่ละช่วงเวลาของวันกันต่างหาก(แหม่ เปลี่ยนอารมณ์เร็วกันจัง) มีหลายคน “ติดรสชาติหวาน” ไม่ว่าจะกินหรือดื่มอะไร ขอหวานนำไว้ก่อน ถ้ารู้ตัวก็ไม่เป็นไร อาจจะยังพอเบรกๆกันได้ แต่ถ้าไม่รู้ตัวว่า “ติดหวาน” นี่สิอันตราย เพราะคุณจะยิ่งบริโภค “น้ำตาล” อันเป็นสารให้ความหวานเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเลยนั่นเอง
สิ่งที่น่าสนใจที่เราอยากเล่าให้ฟังก็คือ มีการจัดเก็บสถิติอัตราการเสียชีวิตเพราะโรคเบาหวานกันด้วยนะ ซึ่งถ้ามองภาพกว้างๆก่อน ในไทยเราขณะนี้กำลังเผชิญกับภาวะที่มีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2 แสนคน การเก็บสถิติในไทยพบว่าเมื่อปี 2552 มีคนไทยป่วยเป็นเบาหวานอยู่ 3.3 ล้านคน แต่พอมาปี 2557 ตัวเลขผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นสูงไปถึง 4.8 ล้านคน และในจำนวนนี้ต้องเสียชีวิตเพราะโรคเบาหวานไปถึงปีละ 8,000 คน เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย มีข้อมูลจาก WHO หรือ องค์การอนามัยโลก ที่คาดการณ์เอาไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ปี 2040 ยอดตัวเลขของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเพิ่มขึ้นถึง 642 ล้านคน จากเดิมในปัจจุบันที่มีอยู่ 415 ล้านคน ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงมาก
ที่น่าเป็นห่วงหนักกว่านั้นก็คือ ในขณะนี้มีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานราวๆ 2 ล้านคน แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ตัว ! จึงยังไม่ขอรับการดูแลรักษา และหนักกว่านั้นอีกคือ มีคนราว 7.7 ล้านคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน หรือเป็นกลุ่มคนติดหวานนั่นเอง
ถ้าเป็นความรัก การเติมความหวานทุกวันเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นเรื่องของสุขภาพอันนี้ไม่ดีแน่ คนจะเพลาๆเรื่องความ “หวาน” ลงบ้าง เพราะความหวานจากน้ำตาลที่เราบริโภคเข้าไปไม่ได้แค่ทำให้เราต้องเผชิญกับ โรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังมีส่วนทำให้เราอ้วนขึ้น ที่หนักกว่านั้นยังทำให้ชีวิตเราเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอื่นๆที่จะตามมาทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งอีกด้วย
ใครจะไปคิดว่าแค่ “ติดหวาน” จะส่งผลกับชีวิตได้ถึงขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคนจนทำให้คนรุ่นใหม่มองข้ามไปจริงๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะยังมีชุดความคิดแบบเดิมๆว่า ความหวานจะไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเราในทันที คนที่จะเป็นโรคเบาหวานได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่เริ่มสูงวัย แต่เราอยากบอกว่าให้คุณทิ้งชุดความคิดแบบนี้ไปได้เลย เพราะโลกความเป็นจริงในตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยระบุว่า แม้ว่าความชุกของโรคเบาหวานจะอยู่ในกลุ่มคนสูงอายุวัย 60 – 69ปีก็จริง แต่ในปัจจุบันอัตราประชากรไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่ป่วยเป็นเบาหวานก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี พ.ศ. 2547 พบอยู่ที่ 6.9% ของประชากร แต่พอมาปีพ.ศ. 2557 ตัวเลขกระโดดขึ้นไปอยู่ที่ 8.8% นั่นแสดงว่าเด็กและวัยรุ่นก็มีโอกาสป่วยเพราะความหวานได้
คนติดหวานแล้วรู้ยังพอปรับเปลี่ยนได้บ้าง แต่คนที่ติดหวานแล้วไม่รู้ตัวอันนี้น่าเป็นห่วงกว่า งั้นมาเช็คให้ชัวร์กันดีกว่าว่า คุณอยู่ในกลุ่มคนที่ติดหวานหรือไม่
1.หาข้อแก้ตัวทุกครั้งที่กินหวาน
มีข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอาหารจากสหรัฐอเมริกา ดร.เคน เบอร์รี่ กล่าวเอาไว้ว่า กลุ่มคนที่ติดหวานแบบไม่รู้ตัว มักจะหาข้ออ้างให้ตนเองเวลากินหวาน หากมีใครมาทักว่า กินหวานมากไปแล้วนะ หรือเติมน้ำตาลเยอะไปแล้ว คนกลุ่มนี้มักจะปฏิเสธและก็มักจะหาเหตุผลมาอ้างอยู่เสมอ ถ้าคนมีลักษณะการใช้ชีวิตและลักษณะการกินเป็นอบบนี้ รู้ไว้เลยว่า คุณก็เข้าข่ายคนติดหวานแล้วไม่รู้ตัวแล้วนะ
2.ไม่หิวนะ แต่ก็อยากของหวานตลอด
เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดจากเพื่อนประมาณว่า “ฉันมีกระเพาะ 2 กระเพาะ เป็นกระเพาะของคาวและกระเพาะของหวาน” เพราะเราเพิ่งจะเห็นเขาหรือเธอผู้นั้น จัดหนักกับบุฟเฟต์ชาบู หมูกระทะไปสดๆร้อนๆ แต่เขาหรือเธอผู้นั้นยังตามด้วยไอศกรีมและของหวานถ้วยใหญ่ได้แบบเต็มๆอีก คนกลุ่มนี้นักโภชนาการให้ความเห็นว่า พวกเขากินของหวานได้ปริมาณมากๆหลังจากมือหนักๆมาแล้วได้ นั่นไม่ใช่ความหิวทางกาย แต่เป็นความอยากน้ำตาลของคนผู้นั้นต่างหาก เขาติดความหวานโดยไม่รู้ตัวเข้าให้เสียแล้ว
3.รู้สึกอารมณ์ดีเมื่อถูกเติมด้วยของหวาน
เรื่องนี้หลายคนเป็นพอหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี หรือเครียดก็มักจะหาของหวานๆมารับประทาน พอได้รับเข้าไปก็จะรู้สึกมีอารมณ์ดีขึ้น บางคนอาจหนักกว่านั้นปัดไปถึงว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า เพราะรู้สึกเครียดง่าย สะเทือนใจง่าย จิตใจหม่นหมองอยู่บ่อยๆจึงต้องการของหวานๆ มาบำบัดอาการ คนกลุ่มนี้ก็จัดว่าเข้าข่ายคนติดหวานแต่ไม่รู้ตัวเช่นกัน
4.อยากเปลี่ยนรสชาติไปกินอะไรเค็มๆบ้าง
ข้อนี้อาจจะดูแปลกๆ คนติดหวานก็ต้องอยากความหวานสิ จะไปอยากความเค็มได้ไง แต่สิ่งนี้เป็นไปได้ เพราะบางคนกินทุกอย่างหวานหมด ทุกมื้อ แม้กระทั่งน้ำดื่มยังมีรสชาติหวาน ร่างกายจึงส่งสัญญาณเตือนให้คุณปรับสมดุลได้แล้ว จึงบ่งบอกไปที่สมองว่าคุณน่าจะหาอะไรเค็มๆ ที่มีรสชาติตัดกันกับความหวานมารับประทานบ้างได้แล้ว สิ่งนี้จึงบ่งบอกว่าคุณเป็นคนติดหวานแล้วนะแต่ไม่รู้ตัวเลย
สัญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณจะต้องเช็คตัวเองให้ชัวร์ว่าคุณเป็นบ้างหรือไม่ คุณจะได้รู้ว่าตนเองเป็นคนติดหวานหรือไม่ อย่างไรก็ดี อาหารหลายๆ อย่างเราก็ควบคุมปริมาณน้ำตาลยาก เพราะเป็นอาหารสำเร็จรูปที่ประกอบมาแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะลดและหลีกเลี่ยงความหวานหรือน้ำตาลได้ก็คือเครื่องดื่มหรือน้ำดื่มที่เราจะใช้ดื่มในระหว่างวัน อย่าง เครื่องดื่ม B’lue ที่คุณจะเห็นน้ำใสๆ แต่ข้างในอร่อยเวอร์ แบบที่คุณจะไม่อยากเชื่อ
นี่คือเครื่องดื่มกระแสใหม่กลิ่นผลไม้ที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากติดหวาน เพราะ B’lue คือทางเลือกสุขภาพที่มีความหวานแต่น้ำตาลน้อยกว่า และอุดมไปด้วยคุณค่าเพราะมีวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผสมอยู่ด้วย B’lue เครื่องดื่มจากบริษัท Sappe ที่มีให้คุณเลือกเซอร์ไพรส์กับ 3 รสชาติแบบผลไม้ที่ชวนให้ลอง หวานแต่ดีเพราะมีวิตามิน B ที่ดีต่อร่างกายและระบบประสาท จะติดหวานหรือไม่ก็ดื่มได้ แบบนี้ต่อให้ติดหวานแบบชัวร์ ก็ดื่มได้รัวๆไม่ต้องกลัวปัญหาสุขภาพแล้วล่ะ