การระบาดของ COVID-19 นับเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์เราในวันนี้ต้องเปลี่ยนไป หลายๆสิ่งจะต้องเปลี่ยนไปและจะกลายเป็น “New Normal” หรือความเป็นปกติใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างน้อยๆวันนี้ เราเริ่มเห็นเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัยเวลาออกไปไหน การใช้เจลล้างมือ หรือแม้กระทั่งการ Work from Home ที่ดูจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไรอีกแล้ว วันนี้เราจึงจะมา Story telling ให้ได้ทราบกันถึงทิศทางของความเป็นปกติใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นความปกติที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่ง Kevin Sneader และ Shubham Singhal ได้แนะนำไว้ใน McKinsey & Company ถึง 7 ปัจจัยที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความปกติให้ไปสู่ New Normal ซึ่งเราเห็นว่าผู้นำธุรกิจและผู้ประกอบการควรจะต้องรู้เอาไว้เป็นแนวทาง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการนำทัพองค์กรต่อไปในช่วงเวลานี้และในอนาคตข้างหน้า เราจึงจะขอนำมาเล่าให้ฟัง

 

1.คนจะหันมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น

หลังจากอินเทอร์เน็ตพัฒนาขึ้นจนเปลี่ยนแปลงเชื่อมโลกใบใหญ่ให้เล็กลงได้ จึงเสมือนเป็นการทลายพรมแดนต่างๆ ของโลกใบนี้ลง เราซื้อขายส่งออกนำเข้าสินค้ากันยกใหญ่ เราพุ่งเป้าหัวใจเศรษฐกิจของประเทศไปที่ธุรกิจท่องเที่ยว เราเน้นการใช้ชีวิตผ่านการเดินทางและถือว่าเป็นไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว เราสื่อสาร บอกเล่า Story telling ชี้นำและสอนในสิ่งที่ไม่เคยมีในยุคก่อนกันได้ในตอนนี้ หากมองให้ดีจะเห็นว่า เรามองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่อยู่ไกลได้ชัดเจนมากขึ้น เขาถึงสิ่งที่อยู่ไกลและเขาถึงสิ่งที่คนยุคก่อนเข้าถึงไม่ได้กันมากขึ้นหลังจากมี internet

แต่หลังจาก COVID-19 เข้ามา หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้นจะลดความสำคัญลงไป คือ ยังไม่ได้หายไป แต่บทบาทและความสำคัญจะลดลง มีแนวโน้มว่า New Normal ใหม่ของระบบเศรษฐกิจและธุรกิจของหลายๆ ประเทศหลังจากนี้จะเริ่มกลับไปให้ความสำคัญกับบริโภคสินค้าท้องถิ่นมากกว่าการบริโภคสินค้าและบริการจากต่างประเทศ อาจมีบางประเทศคิดถึงเรื่องการเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเป็นเรื่องการเกษตร แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเรื่องการท่องเที่ยวจะหายไป แต่จะเน้นไปที่การให้คนในประเทศท่องเที่ยวภายในประเทศของตนเองมากขึ้น จึงอาจสรุปได้ว่าความเป็นปกติใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ คนจะกลับมาเริ่มกลับมามองคุณค่าของสิ่งใกล้ตัวที่เคยมองข้ามไปมากขึ้น

 

2.ธุรกิจการค้าทุกอย่างจะวางแผนอย่างยืดหยุ่น และเน้นถึงสิ่งที่ได้ผลที่สุด

แน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็ว Lockdown ต่างๆไม่ว่าจะประเทศไหนก็จะต้องถูกคลายลง เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไป ธุรกิจห้างร้านต่างๆ จะกลับมาเปิดทำการเหมือนเดิม แต่ทุกอย่างจะเป็นไปแบบไม่ปกติอย่างที่เคยเป็นมา เพราะเชื่อว่าในระยะแรกของการคลาย Lockdown จะยังเป็นสถานะ เปิดๆ ปิดๆ ไม่เปิดหมด 100% หรือตีงไหนเปิดเต็มที่ หากมีคนป่วยพบผู้ติดเชื้อก็จะมีคำสั่งปิดทันที

เมื่อโลกของการทำงานทำธุรกิจอยู่ในภาวะที่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจและผู้นำองค์กรจะกำหนดทุกอย่างไว้อย่างยืดหยุ่น ให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ ต้องพร้อมที่จะปิดและพร้อมที่จะเปิดได้ คือ จะวางแผนอะไรมักจะมีแผน 2 หรือแผนสำรองเสมอ การกำหนดแผนการลงทุน การกำหนดแผนการตลาด ทุกอย่างจะทำอย่างยืดหยุ่น เน้นแผนระยะสั้นและระยะกลางมากขึ้น ภาคธุรกิจจะไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับการทำการตลาดแบบสุ่ม ไม่โฆษณาหากคิดว่าไม่ได้ผล กลยุทธ์ใดๆที่คิดว่าไม่น่าจะมีประสิทธิภาพภาคธุรกิจจะตัดออก สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ กลายเป็น New Normal ของโลกธุรกิจมากขึ้น ในเรื่องนี้วิจัยของ McKinsey ในปี 2008 ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากว่าโครงสร้างขององค์กรค่อนข้างยืดหยุ่นอยู่แล้ว และต้นทุนธุรกิจก็ไม่ได้สูงมาก ฉะนั้น พวกเขาจะทำอะไรจึงตัดสินใจได้ไว ซึ่งภายในปีเดียวกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กสามารถฟื้นธุรกิจได้และทำเป้าได้โตขึ้น 10% ภายใน 1ปีเลยทีเดียว

 

3.เศรษฐกิจไร้รอยต่อ Transform สู่ Digital ชัดเจนขึ้น

ก่อนหน้านี้เราพยายามกล่าวถึงการTransform สู่ Digital Online ทั้งเรื่องธุรกิจ การแพทย์ อุตสาหกรรม ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทุกอย่างก็ยังดูเฉื่อยๆคนยังมองว่าอะไรที่ทำออฟไลน์ได้อยู่ก็ทำไป ไม่จำเป็นจะต้องออนไลน์ก็ได้ เรียกว่าการปรับตัวสู่ผู้ประกอบการดิจิทัลจริงๆมีอยู่น้อยมากและส่วนใหญ่ก็จะเป็นแค่แนวคิดเสียมากกว่า

แต่หลังจากนี้ ธุรกิจห้างร้านค้าปลีก การแพทย์สาธารณสุข รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมจะ Transform สู่ Digital ชัดเจนขึ้น เพราะ COVID-19 เป็นตัวกระตุ้นและเร่งให้ทุกคนปรับตัว ระบบขนส่งต่างๆจะเชื่อมต่อกันมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือผ่านบัตรใบเดียว สังคมไร้เงินสดจะเกิดขึ้นเพราะคนเริ่มกลัวการจับเงิน ธุรกิจ E-commerce จะเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ก่อนหน้านั้นก็มีแนวโน้มว่าจะโตขึ้นอยู่แล้ว สมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันจะเริ่มเข้าถึงผู้คนมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา การสื่อสาร การเล่าเรื่องราวStory telling การถ่ายทอดประสบการณ์ การเรียนการสอนจะขยับเข้ามาสู่โลกออนไลน์มากขึ้นแบบที่เราก็ไม่คาดคติดว่าจะทำได้มาก่อน หลายๆอย่างจะลดบทบาทลงไป ในขณะที่อีกหลายๆอย่างก็จะถูกเพิ่มความสำคัญขึ้น New Normal ในลักษณะนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วในขณะนี้

 

4.นโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐจะมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น

วิกฤตไวรัสครั้งนี้ถ้าดูไปก็ไม่ต่างจากสงครามโลก หรือวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานปกครองจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้ามามีบทบาทควบคุมประชาชนให้อยู่ในร่องในรอย จึงกลายเป็นว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆจะแทรกแซงการใช้ชีวิตของประชาชนไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่และมีเจตนาดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ในยามนี้

และการที่ภาครัฐเข้ามามีอำนาจควบคุมดูแลประชาชนต่อเนื่องเช่นนี้ นโยบายต่างๆของภาครัฐจะกลายเป็นสิ่งที่ชี้นำการตัดสินใจทางธุรกิจ ชี้นำทิศทางของเศรษฐกิจทั้งประเทศเลยทีเดียว และเป็นสิ่งที่บอกได้ยากกว่า บทบาทในส่วนนี้จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะแต่ละประเทศก็คงจะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไป แต่นี้จะกลายเป็นความปกติใหม่ของระบบเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้

 

5.การตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น

เมื่อภาครัฐเข้ามามีอำนาจควบคุมดูแลประชาชน ใครที่ไม่เคยอยู่ในระบบข้อมูลส่วนกลางของรัฐ ก็จะต้องเข้ามาอยู่ในระบบเองโดยปริยายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะไม่ว่าภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ต่างก็ล้วนต้องการความช่วยเหลือจากรัฐด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อจะให้รัฐช่วยเหลือ รัฐก็ต้องมีข้อมูลของประชาชนและภาคธุรกิจ การตรวจสอบจึงจะต้องเข้มข้นมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่งไม่ใช่เพียงแค่รัฐตรวจสอบประชาชนเท่านั้น แต่ภาคประชาชนเองก็จะมีการตรวจสอบรัฐอย่างเข้มข้นมากขึ้นด้วย เพราะทุกการใช้จ่ายของรัฐจะมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และมีความสำคัญมากขึ้นด้วย ดังนั้น ประชาชนผู้เสียภาษีจะละเอียดขึ้นกับการตรวจสอบการใช้เงินภาษีของแผ่นดินขากภาครัฐ นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่ง New Normal ที่เกิดขึ้น

 

6.บทบาทและตำแหน่งอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

จากสถานการณ์นี้ทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงรุนแรงถึงภายในจิตใจของคน นั่นหมายความว่า ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของผู้คนจะเปลี่ยนไปด้วย เมื่อความคิดความเชื่อของคนเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนก็จะเปลี่ยน และเมื่อพฤติกรรมเปลี่ยนนั่นจึงกลายเป็น New Normal ที่จะเกิดขึ้น

หากสังคมโลกเกิด New Normal มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ ธุรกิจใดที่เคยครองตลาด และมั่นใจในตำแหน่งตลาดของตนเองที่เคยครองมา จะคิดแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่คิดว่าไม่มีใครโค่นได้ หลายๆอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา นี่จึงเป็นโอกาสของคนที่ปรับตัวได้ไว ถ้าธุรกิจ SME มีความยืดหยุ่นกว่าโอกาสที่จะอยู่รอดและยืนระยะได้นานก็เป็นไปได้สูงกว่า

 

7.มีโอกาสใหม่ๆในวิกฤตที่เกิด

หลังจากนี้เราจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม แอปพลิเคชัน และยาใหม่ๆมากขึ้นในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะคนจะพยายามหาโฮกาสในวิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมปรับตัวเพื่ออยู่รอดของมนุษย์ และสิ่งใหม่ๆที่ถูกพัฒนาขึ้นเหล่านี้จะกลายเป็น New Normal ของพวกเราไปในอีกไม่ช้านี้ ใหม่ๆเราอาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่พอนานๆไปเราก็จะชินจนกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ปกติสำหรับเรา

 

7 ปัจจัยที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความปกติให้ไปสู่ New Normal ที่เราขอนำมาเล่าแบบStory telling ให้ได้ทราบกันในครั้งนี้ ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงนักการตลาดทุกท่านสามารถเรียนรู้และนำไปเป็นแนวทางในการวางแผนธุรกิจของตนเองได้ ซึ่งหากคุณก้าวตามสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงนี้ทัน โอกาสที่คุณจะอยู่รอดก็มีสูงแล้ว