หากเอ่ยถึงการทำธุรกิจสไตล์ญี่ปุ่น เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะมีภาพของแบรนด์ธุรกิจดังๆขึ้นมาในใจทันที อย่าง Sony Mitsubishi Hondaฯลฯ สิ่งที่ทำให้เรานึกถึงแบรนด์เหล่านี้ไม่ใช่เพราะคุณภาพของสินค้าอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ brand story ของพวกเขาด้วย ที่เขาได้ทำการ Storytelling ลงไปในทุกสิ่งของแบรนด์ ตั้งแต่ตัวแบรนด์เองไปจนกระทั่งถึงสินค้าและบริการ ทำให้เราทุกคนสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ความช่างคิดช่างประดิษฐ์และช่างคิดค้นของพวกเขา และทำให้พวกเรารู้สึกได้ว่าสินค้าของพวกเขาประณีตใส่ใจจนกลายเป็นประสบการณ์และความประทับใจของเราในที่สุด
อะไรอยู่เบื้องหลัง brand story อันเป็นตำนานเหล่านั้น อะไรที่ทำให้พวกเราสัมผัสได้ถึงความชัดเจนของแบรนด์ธุรกิจจากญี่ปุ่น คำตอบนั้นก็คือ Market Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มตลาดที่ชัดเจน แบรนด์ธุรกิจจากญี่ปุ่นแบบทุกแบรนด์มีความชัดเจนในเรื่องนี้มาก ในความเป็นจริงแล้วการสร้าง brand story ก็ทำให้แบรนด์มีความแตกต่างในตัวเองอยู่แล้ว แต่ธุรกิจในญี่ปุ่นยังสร้าง “ความชัดเจนในความแตกต่าง” เพิ่มเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ด้วยการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการทำการตลาดอย่างชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มสร้าง brand story หรือก่อนที่จะทำ Storytelling (สร้าง story ลงไปในสินค้าและบริการ)
กลุ่มเป้าหมายชัดเจน brand story ก็มีพลัง
brand story นั้นทำให้แบรนด์ดูมีเอกลักษณ์และมีคุณค่า สร้างภาพจำได้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า สิ่งนี้จะมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนผู้บริโภคให้กลายมาเป็นลูกค้าได้เสมอไป คุณอาจจะมี brand story ที่น่าสนใจก็จริง แต่หากว่าคนที่รับรู้เรื่องราวของแบรนด์ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินค้า สิ่งนี้จะมีประโยชน์ได้อย่างไร พลังที่แท้จริงของการเล่าเรื่องก็ไม่สามารถแสดงตัวตนออกมาได้
การทำธุรกิจสไตล์ญี่ปุ่นในยุคใหม่นั้นจะมีความชัดเจนมากในการแบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มเป้าหมายย่อยๆและพวกเขาก็จะเลือกใช้การ Storytelling ที่แตกต่างวิธีกันไป บางครั้งก็สร้างแบรนด์ย่อยออกมาและสร้าง brand story ใหม่ให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆไปเลย แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นจะมีตลาดที่ไม่ใหญ่ เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆก็ตาม แต่การทำเช่นนี้ story จะมีพลังมาก และจะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยตัวเอง
Market Segmentation ที่ควรใช้ในวันนี้
ธุรกิจญี่ปุ่นในปัจจุบันใช้วิธีการแบ่งตลาดกลุ่มเป้าหมายโดยดูจาก “ความต้องการ” เป็นหัวใจสำคัญ หากยกตัวอย่างกลุ่มธุรกิจในญี่ปุ่นที่ชัดเจนมากในเรื่องการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ก็คงต้องขอยกเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารในญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเช่น ในญี่ปุ่นจะมีเทรนด์เล็กๆของกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานที่มีสไตล์การแต่งตัวเท่ๆแบบสาวมั่น กลุ่มนี้จะเป็นคนมีความรู้ และมักชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตะวันตกโดยเฉพาะประวัติศาสตร์และตำนานกรีก – โรมัน จึงมีร้านอาหารในญี่ปุ่นหลายร้านที่ปรับธีมของร้านให้มีมุมที่สอดคล้องกับความสนใจของสาวๆกลุ่มนี้ ร้านอาหารไหนเพิ่งเปิดใหม่ก็จะสร้าง brand story ให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้โดยเฉพาะเลย
นอกจากนั้นแล้วยังมีการแบ่งตลาดออกตาม “ความต้องการ” ในด้านรสชาติของอาหาร พวกเขาพบว่าในญี่ปุ่นจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ติดใจในรสชาติของ “แกงกะหรี่ญี่ปุ่นแบบเผ็ด” เลยมีบางบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูป ผลิตอาหารรสชาติแกงกะหรี่ญี่ปุ่นแบบเผ็ดออกมา ร้านอาหารบางร้านก็เพิ่มเมนูนี้เข้าไป และก็เติม Story ดีๆลงไปในเมนูเพื่อเพิ่มความแตกต่างด้วย จึงต้องบอกว่าการแบ่งตลาดกลุ่มเป้าหมายในวันนี้ ควรใช้วิธีการแบ่งโดยดูจาก “ความต้องการ” ของผู้บริโภคเป็นหลักนั่นเอง
สร้าง brand story ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดดีอย่างไร
- เข้าถึงใจลูกค้าได้ง่าย – เมื่อคุณรู้ว่าผู้คนกำลังต้องการอะไร ลูกค้าของคุณกำลังมีปัญหาอะไร และพวกเขากำลังมองหาสิ่งใด สนใจเรื่องอะไร brand story หรือเรื่องราวของคุณจะเข้าไปนั่งในใจของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แบบไม่ต้องลงทุนอะไรมากก็สามารถดึงดูดคนเข้ามาเป็นลูกค้าได้
- ทำการตลาดได้ง่าย – เมื่อคุณชัดเจนอยู่แล้วว่าแบรนด์ สินค้า และบริการของคุณ สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในเรื่องไหน และต้องการให้ใครมาซื้อ คุณจะไม่ต้องวุ่นวายกับการหากลยุทธ์การตลาดอะไรมาก และไม่ต้องลงทุนไปกับการทดลองทำตลาดอะไรให้เปลืองงบประมาณ คุณจะรู้ว่าควรทำคอนเทนต์เพื่อสื่อสารอย่างไรดี
- ขยายตลาดและต่อยอดธุรกิจได้ง่าย – เมื่อกลุ่มตลาดแรกคุณสามารถซื้อใจพวกเขาได้หมดแล้ว นั่นเท่ากับว่าคุณมีฐานลูกค้าแล้ว และก็มีกลุ่มคนที่พร้อมจะฟังสิ่งที่คุณเล่า นั่นจึงทำให้คุณสามารถที่จะขยายกลุ่มคนฟัง กลุ่มคนที่บริโภค Story ของคุณได้ง่ายมากขึ้นแล้ว จะต่อยอดออกไปเป็นทำการตลาดคอนเทนต์อื่นๆออกไปจัด Event หรือแม้กระทั่งสร้างแบรนด์ใหม่ เพื่อหาตลาดและกลุ่มเป้าหมายใหม่ก็ง่ายมากขึ้น
นี่คือ สิ่งที่คุณควรจะต้องรู้และต้องชัดเจนก่อนที่จะลงมือสร้าง brand story การจะเล่าเรื่องใดให้ใครฟัง คุณก็ควรจะรู้ก่อนว่า คนที่จะฟังเป็นใครและเขามีความรู้หรือมีความพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังสิ่งที่คุณจะเล่าหรือไม่ ถ้าคุณชัดเจนในเรื่องนี้ เรื่องเล่าจากแบรนด์ของคุณก็จะมีพลังมากพอที่จะโน้มน้าวกลุ่มคนเหล่านั้นให้มาเป็นลูกค้าได้นั่นเอง