หลายคนอาจมองว่าโควิด 19 มาสร้างความท้าทายใหม่ให้กับการทำธุรกิจ แต่ก็มีบางธุรกิจกลับโตได้ในช่วงโควิดระบาดแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะการวางแผนด้านการทำการตลาด การใช้กลยุทธ์ Content Marketing ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ บางธุรกิจใช้แล้วได้ผลดีมากขึ้น ในขณะที่บางธุรกิจก็ใช้แล้วไม่ได้ผลเลยก็มี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคธุรกิจนำเสนอคอนเทนต์ต่าง ๆ ไม่ถูกที่และไม่ถูกจังหวะเวลานั่นเอง
โควิดอาจไม่ใช่วิกฤตสำหรับการทำคอนเทนต์
อย่างที่เราจะเห็นได้ชัดว่า มีธุรกิจมากมายที่ลดงบประมาณในการทำ Content Marketing ลงเยอะมากตั้งแต่โควิดเข้ามา ส่วนใหญ่แล้วที่ต้องลดงบประมาณลงเพราะมองว่าการทำ Content Marketing เป็นอะไรที่เสี่ยงอยู่ไม่น้อยเลย อาจจะไม่ได้ผลตามที่หวังไว้ก็ได้ ซึ่งถ้าจะมองกันตามจริงแล้ว โควิดอาจไม่ใช่เหตุผลหลักของการลดงบประมาณการทำคอนเทนต์ แต่เป็นเพราะโลกแห่งการทำคอนเทนต์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกปีเลยนั่นเอง
แต่ต้องยอกรับว่า โควิดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานทุกอย่างยากขึ้นไปอีก หลายธุรกิจพลิกวิธีการทำคอนเทนต์ของตนเองมานำเสนอในมุม Storytelling ซึ่ง Feedback ดีในช่วงแรก แต่โควิดก็ทำให้เทคนิคการเล่าเรื่องลดพลังลงไป ตัวคอนเทนต์ยังคงน่าสนใจอยู่ Engagement ก็ยังดี แต่กลับไม่สร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างที่เคยเป็นมา นั่นจึงทำให้ธุรกิจมากมายจำเป็นต้องชะลอการลงทุนในด้านนี้ไป
รวมตัวเพื่อให้มีกำลังมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ ธุรกิจใช้แล้วได้ผลดีในช่วงนี้ สามารถที่จะประคับประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้เลยก็คือ “มัดรวม” อะไรที่เคยแยกตัวก็จับมารวมกันให้เป็นหนึ่งเดียว บางบริษัทอาจมีบริษัทย่อย ๆ เยอะ พอวิกฤตครั้งนี้มาก็ผสานบริษัทย่อยให้มารวมกันเป็นหนึ่ง ซึ่งช่วยประยัดทรัพยากรขององค์กรไปได้เยอะ ในส่วนของการทำ Content Marketing ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงทุนทำหลายทางอีกแล้ว เมื่อมารวมกันจึงทำให้บริษัทมีกำลังมากขึ้น สามารถที่จะสื่อสารและ Storytelling เรื่องราวของธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ลูกค้าเข้าใจง่ายขึ้น
สำหรับบางธุรกิจที่เคยแยกกันอยู่แบบเดี่ยว ๆ ตอนนี้ก็เริ่มมีบางกลุ่มรวมตัวเข้าเป็นพาร์ทเนอร์กันแบบหลาย ๆ บริษัทแล้วเช่นกัน ก็นับเป็นแนวทางที่ดี เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใกล้เคียงกัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะแยกและมาแข่งขันกันเองในเวลานี้ เมื่อรวมเป็นพาร์ทเนอร์กันก็มีกำลังในการทำ Content Marketing เพื่อช่วยสื่อสารกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น อาจจะเรียกว่าเป็นการทำงานที่ครบวงจรมากขึ้นเลยก็ว่าได้ อย่างมากแห่ง เก่งเรื่อง Storytelling ผ่านบทความ บางแห่งมีเครื่องไม้เครื่องมือและทีมทำงานด้าน VDO หรือ Podcast แต่ยังขาดคนเขียนเนื้อเรื่องและเรียบเรียงเนื้อหาที่ดี พอมารวมตัวกันจึงกลายเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบและครบวงจรมากขึ้นนั่นเอง วิธีการแบบนี้จึงถือเป็นทางออกที่น่าสนใจในยุคที่ทุก ๆ อย่างบีบรัดและมีข้อจำกัดเยอะแบบนี้
ถ้าไม่ใหญ่ก็ต้องเล็กแบบสุด ๆ
อีกแนวทางหนึ่งในการใช้กลยุทธ์ Content Marketing เพื่อมาช่วยส่งเสริมการขายให้ธุรกิจและเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภคก็คือ การทำตัวให้เล็กกว่าเดิม ข้างต้นเราแสนอวิธีการทำตัวเองให้ใหญ่ขึ้นแข็งแกร่งขึ้นโดยการรวมตัวกัน อีกแนวทางหนึ่งที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ได้ผลดีเช่นกันก็คือ ปรับโครงสร้างองค์กรให้เล็กลงไปกว่าเดิม เพื่อเพิ่มความคล่องตัว บริษัทไหนที่มีขนาดเล็กอยู่แล้ว ก็ใช้ความเล็กและคล่องตัวนี้ให้เป็นประโยชน์
การรวมตัวเพื่อให้องค์กรใหญ่ขึ้นนั้น ช่วยให้เราสามารถทำคอนเทนต์ได้สมบูรณ์ครบทุกด้านก็จริง แต่นั่นก็จะทำให้เป็นภาระต่อลูกค้าที่จะต้องจ่ายเงินให้กับสินค้าและบริการแพงขึ้นด้วย เพราะต้นทุนในการผลิตคอนเทนต์จะสูงขึ้น แต่ในมุมกลับกัน ถ้าเราปรับองค์กรให้เล็ก การทำคอนเทนต์ของเราจะมีข้อจำกัดก็จริง แต่เราก็จะได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น บางครั้งลูกค้าอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเราด้วย เพราะคอนเทนต์ที่เราทำจะสื่อสารไปในทางเดียวรูปแบบเดียวชัดเจน ในแบบที่ไม่กระทบต้นทุนธุรกิจมากนัก ซึ่งบริษัทก็จะอยู่ได้ พนักงานก็จะอยู่ได้(แม้จะลำบากกันบ้าง เพราะภาระงานจะหนักขึ้น) และสินค้าก็จะยังพอขายได้บ้าง
Creativity เรื่องสำคัญสำหรับการวางแผนคอนเทนต์
เราดูวิธีการปรับเปลี่ยนจากในส่วนของโครงสร้างองค์กรและการทำงานไปแล้ว ลองมาดูการปรับในส่วนของ Content Marketing กันแบบตรง ๆ เลยดีกว่า ไม่ว่าคุณจะปรับโครงสร้างธุรกิจในแบบที่ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงก็ตาม คุณก็จะทำคอนเทนต์แบบเททิ้งเทขว้างเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป งานแต่ละชิ้นที่จะออกมาสื่อสารบอกความเป็นแบรนด์และกลุ่มธุรกิจของคุณในแต่ละชิ้น ไม่จำเป็นต้องบ่อย แต่ควรจะเป็นงานที่ “ดี” เน้นในเรื่องคุณค่าและความหมาย ใช้การนำเสนอในแบบ Storytelling ก็จะช่วยได้มาก ทำให้คอนเทนต์แต่ละชิ้นสื่อสารเข้าไปถึงใจของผู้บริโภคให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นมากที่จะต้องอาศัยความคิดและไอเดียสุดครีเอทีฟ หากทำเองไม่ได้การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือคนเก่งมาช่วยก็เป้นทางออกหนึ่งที่ดี
นั่นหมายความว่าคอนเทนต์ที่คุณจะสื่อสารออกไปในภาวะแบบนี้ จำเป็นมากที่จะต้องสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ สื่อสารให้ถูกที่ ถูกจังหวะและเวลา บางเรื่องนำเสนอผ่านตัวอักษรหรือภาพก็อาจะเพียงพอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเป็น VDO ให้สิ้นเปลืองต้นทุนและพลังงาน บางเรื่องอาจจะต้องทำเป็นคลิปลง YouTube ถึงจะได้ผลตอบรับที่ดีกว่า ก็ต้องดูเป็นกรณีและว่ากันตามเนื้อหากันไป คือ มีเนื้อหาแต่จะต้องเลือกแพลตฟอร์มการนำเสนอให้ดี ลงให้ถูกที่แล้วคอนเทนต์ก็จะปัง
อีกส่วนที่สำคัญก็คือ จังหวะและเวลาในการนำเสนอ หากเน้นโซเชียลมีเดียก็ต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายของเรา จะเข้ามารับชมเนื้อหาในช่วงไหน ให้เราตั้งโพสต์ไว้ให้เหมาะสมกับช่วงเวลา หรือ การจะลงคอนเทนต์อะไรก็ให้ดูด้วยว่าอารมณ์ร่วมของสังคมในตอนนั้นเป็นอย่าง กระแสความคิดเห็นของผู้คนเป็นอย่างไร บางครั้งเกาะกระแสมากเกิดไป ทำเนื้อหาลงผิดจังหวะไปสักหน่อย กลายเป็นว่ากระแสตีกลับโดนโลกโซเชียลถล่มยับ ก็จะทำให้เราหมดโอกาสไปเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า Content Marketing เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยสำหรับภาคธุรกิจในยุคนี้ เพราะนี่คือสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าคุณมีตัวตนอยู่บนโลก และคุณมีดีอย่างไร ดังนั้น ถ้าคิดจะทำทั้งทีก็จะต้องพิถีพิถันกันสักหน่อย วางแผนกันให้ดี ใส่ความครีเอทเข้าไปมาก ๆ และเลือกโอกาสในการนำเสนอให้เหมาะสม เชื่อเถอะว่าถ้าทำแบบดี ๆ ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายก็ย่อมดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน